ชญานิน แสงชาญชัย แห่ง ‘พิชญานิน คลินิก’ คลินิกสุขภาพใจที่อยากเห็นคนไทยมีแต่ความสุข

Human / Social-Inspiration

จนถึงเวลานี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยยังคงเป็นปัญหาที่ทั้งใหญ่และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกที ทั้งจากความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกในทุกภาคส่วนตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ที่แม้ในเวลานี้จะคลี่คลายลงแล้วก็ตาม ซึ่งหากใครไม่สามารถปรับตัวได้ สิ่งที่ตามมาคือความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงต่อคุณภาพชีวิตของตัวเอง แต่รวมไปถึงคนรอบข้าง และสังคมในวงกว้างเช่นเดียวกัน 

ขณะที่ระบบการดูแลสุขภาพจิตของบ้านเรา ถ้าอธิบายให้เห็นภาพด้วยคำสั้นๆ คือยังคงเป็นระบบแบบคอขวดที่บุคลากรด้านดังกล่าวยังกระจายไม่ทั่วถึงทุกมุมเมือง ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงรักษาได้ยาก นี่จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง ‘พิชญานิน คลินิก’ จากความตั้งใจของพลตรี นายแพทย์ พิชัย แสงชาญชัย แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ (การเสพติด) และทีมสหวิชาชีพที่ต้องการเห็นคนไทยมีสุขภาพกายที่แข็งแรงและหัวใจที่เข้มแข็ง โดยคลินิกแห่งนี้จะคอยเป็นพื้นที่ดูแลใจและให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาให้กับผู้ป่วยจิตเวชผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ เด็กและวัยรุ่น การเสพติด และการนอนหลับ อีกทั้งมีการบูรณาการหลักธรรมเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของแนวทางการออกแบบและการบริการ 

บทสัมภาษณ์ฉบับนี้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ตัวเรามีโอกาสได้สัมผัสกับปัญหาสุขภาพจิตจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง จากคนรอบตัว รวมไปถึงข่าวคราวของพี่น้องคนไทยผ่านสื่อทั้งออฟไลน์ออนไลน์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่หลายบทหลายตอนที่ มิว – ชญานิน แสงชาญชัย ลูกชายคนเล็กของอาจารย์หมอพิชัย ตัวแทนผู้บริหารที่ดูแลงานหลังบ้านของคลินิกแห่งนี้ ก็ชวนให้เราตระหนักถึงการเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่พวกเขาพยายามลงมือทำงานในบทบาทของตัวเองอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อดึงเอาคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะความสุขทางกาย ความสบายทางใจของคนไทยให้กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะเอื้อในเรื่องการอยู่อาศัยได้อย่างดีใรระดับบุคคลเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการเอื้อให้เกิดนิเวศที่ดีของสังคมโดยรวมด้วยเช่นกัน  

มิวเล่าให้เราฟังว่าตัวเขาเองเริ่มมารู้จักเรื่องการดูแลสุขภาพจิตก็ตอนที่เป็นนิสิตปีที่ 1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีโอกาสช่วยออกแบบโปสเตอร์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 การช่วยออกแบบโลโก้และปกหนังสือให้กับคุณพ่อ กระทั่งเรียนจบปริญญาตรี เขาจึงตัดสินใจเข้ามาทำงานเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารโดยดูแลบริหารงานของคลินิกแห่งนี้ ร่วมกับคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายแบบเต็มตัว

“ผมชอบวาดรูป ชอบงานศิลปะ รวมถึงสถาปัตยกรรมมาตั้งแต่เด็ก พอเตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็พบว่าตัวเองชอบงานออกแบบอุตสาหกรรม เลยเลือกสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบอุตสาหกรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนที่เรียนปีแรก เป็นเวลาเดียวกับที่โควิดระบาดพอดี เลยได้นำความรู้ความสามารถที่เรียนมาช่วยงานทางการแพทย์ของคุณพ่อตั้งแต่ตอนนั้น เริ่มต้นจากการออกแบบหนังสือทางการแพทย์ให้กับท่าน ซึ่งการออกแบบหนังสือทำให้ผมมีโอกาสได้อ่านสิ่งที่คุณพ่อเขียนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเสพติดทุกรูปแบบ การอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ การรักษา หลักการต่างๆ ที่เกิดขึ้นของแต่ละโรคทางจิตเวช ผมจึงได้ซึมซับความรู้เหล่านั้นมาเรื่อยๆ และมีโอกาสได้เข้ามาช่วยคุณพ่อเต็มตัวหลังจากเรียนจบ 

“สำหรับคลินิกของพวกเราเกิดขึ้นได้อย่างไร คงต้องย้อนไปดูที่นโยบายด้านสุขภาพของบ้านเราที่ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงสุขภาพจิต แต่จะดูแลในส่วนสุขภาพกายเป็นหลัก ฉะนั้น คนเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตใจจึงมีจำนวนมาก ซึ่งสวนทางกับจำนวนบุคลากรและสถานพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือไม่มีที่ไป ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นคือบางคนที่ต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วนแต่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อมองเห็นช่องว่างตรงนั้น จึงมีการมานั่งคุยกันว่าแล้วในฐานะของการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่คุณพ่อเป็นหมอเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ คุณแม่เป็นพยาบาล และมีบุคคลากรสหสาขาอยู่ในเครือข่าย เราจะช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง เราคิดกันว่าถ้าเราสามารถทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข มันจะส่งกระทบในแง่ดีทั้งระดับบุคคลและประเทศได้ นั่นคือจุดประสงค์ใหญ่ในการก่อตั้ง พิชญานิน คลินิก ขึ้น โดยความตั้งใจสูงสุดคืออยากให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วได้ ในค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล และกลับมาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน

“แม้เวลานี้สังคมจะมีความรู้เรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น แต่ในผู้ป่วยจิตเวชบางคนอาจยังไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย หรือบางคนยังไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาป่วย เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปว่าเป็นโรคดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์หรือหน้าที่การงาน สิ่งที่เราตั้งใจและถ่ายทอดผ่านตัวคลินิก วิธีการปฏิบัติต่อผู้มารับบริการ ไปจนถึงแนวทางการทำงาน คือเราอยากให้พวกเขาสามารถเข้ามารับการรักษาโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดแปลกอะไร เราคิดเสมอว่าแต่ละคนต่างมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกัน เจอปัญหาที่ไม่เหมือนกัน และการป่วยคือเรื่องธรรมดา เมื่อป่วยก็รักษาให้หายได้ เราตั้งใจและอยากให้ผู้ป่วยกล้าที่จะเดินเข้ามารับการรักษา และเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นคือเราอยากเห็นพวกเขามีชีวิตที่มีความสุขทุกวัน

“ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่เราให้บริการเหนือความคาดหวัง คือความพยายามในการสร้างช่องทางการช่วยเหลือผู้ป่วยผ่านระบบไลน์ OA ซึ่งหากเทียบกับการทำงานของโรงพยาบาล ต่อให้เป็นโรงพยาบาลเอกชน คนไข้จะสามารถคุยกับคุณหมอได้ต่อเมื่อถึงวงรอบ เช่น ถ้าคุณนัดหนึ่งเดือนคือหนึ่งเดือน แต่เราวางระบบไว้ว่า หากคนไข้ลงทะเบียน เราจะถามเลยว่าผู้ป่วยมีอาการหรือปัญหาด้านใดที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราจะแนะนำอาจารย์แพทย์เฉพาะทาง เพื่อทำตารางนัดหมายให้ล่วงหน้า ดังนั้น ทุกคนจะได้รับการบริการด้านการรักษาที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น เป็นบริการแบบครบวงจร (One Stop Services) ที่มีทีมสหวิชาชีทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักจิตบำบัด และพยาบาลที่จะช่วยกันอ่านไลน์ เราจะประชุมหารือวางแผนการรักษาผู้ป่วยโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Client Centric) จึงทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการตรวจ รักษาพยาบาลสูงสุด ตามโรค ปัญหา วัย และปัจจัยอื่นๆ ที่ทันกับความต้องการและทันเวลา”

“พิชญานิน” เป็นคำที่ประกอบขึ้นจากคำว่า “พิชญะ + ชญานิน” หมายถึง นักปราชญ์ หรือบุคคลที่มีความเฉลียวฉลาดในทุกๆ ด้าน นั่นคือ หนึ่ง รู้จักตนเอง (พลังกาย) สอง รู้จักคิด (พลังสติปัญญา) สาม รู้จักใช้ชีวิต (พลังใจ) ที่นี่จึงเป็นคลินิกสุขภาพใจที่พร้อมส่งเสริมและพัฒนาผู้รับบริการเพื่อให้มีทักษะความพร้อมในการดำเนินชีวิต ทั้งพลังกาย พลังใจ และพลังสติปัญญา โดยมิวยังบอกกับเราอีกว่า เขาตั้งใจออกแบบให้คลินิกแห่งนี้ให้เป็นเสมือนบ้าน ไม่ให้เป็นคลินิกของคนป่วย ที่นี่จะไม่มีตู้ยา และใช้หลักการดีไซน์เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Management) แบบ End to End ที่ทุกรายละเอียดจะเข้าไปช่วยสร้างประสบการณ์ให้ผู้เข้ามารับบริการ โดยออกแบบให้บรรยากาศมีความสบาย อบอุ่น และปลอดภัยเหมือนบ้านที่ใครก็สามารถมาพูดคุยและปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง เป็นบ้านที่จะทำให้เข้าใจตัวเองและคนอื่นได้

“หน้าที่ของผม คือ CEO ที่ไม่ใช่ Chief Executive Officer แต่เป็น Can do Everything Officer หรือ All in One นอกจากงานออกแบบคลินิก ถุงยา และยังรับผิดชอบเป็น CFO (บริหารเงิน) CHRO (บริหารคน) CMO (บริหารสื่อ) CEMO (บริหารประสบการณ์ลูกค้า) ฯลฯ รวมถึงเรื่องแนวทางพัฒนาคลินิกในอนาคตว่าเราจะบริหารจัดการคลินิกอย่างไร ยังรวมไปถึงเรื่องการออกแบบพื้นที่ภายในเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเพราะผู้ป่วยที่มาที่คลินิกมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่เด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ผู้สูงวัย ส่วนผู้ป่วยเองก็มาด้วยความเจ็บป่วยที่แตกต่างกัน เราอยากให้เวลาที่ผู้มารับบริการเข้ามาได้รับประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีกลับไป รายละเอียดของการทำคลินิกจึงถูกวิจัยและทำการบ้านมาเยอะมากครับ โดยเราออกแบบทุกรายละเอียดในทุก Touch Point เราจะจับเวลาตั้งแต่ผู้มารับบริการเดินเข้ามาเลยว่ากี่นาที แล้วเราต้องการให้นาทีนั้นที่เขาเข้ามาแล้วเจออะไรและรู้สึกอย่างไร เราอยากให้คนที่เข้ามาไม่รู้สึกว่ากำลังมารักษา แต่จะเป็นการสร้างบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นให้พวกเขาแทน ขณะเดียวกัน เราก็ให้ความสำคัญไปกับความเป็นส่วนตัวของผู้เข้ามารับบริการด้วย 

“หรือแม้แต่การออกแบบโลโก้เอง เราอยากสะท้อนให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต โดยนำภาพต้นไม้มาเป็นตัวแทนของชีวิตคน ส่วนคลื่นทั้งสี่เป็นปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของดิน น้ำ ลม และแสงแดด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นไม้เติบโต ความโค้งและงุ้มของต้นไม้ แสดงออกถึงความถ่อมตน ยอมรับ และปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เพื่อให้ยืดหยัดแม้จะอยู่ท่ามกลางอุปสรรคในชีวิต ใบไม้เล็กๆ คือการแตกกิ่งก้าน คือชีวิตใหม่ที่เติบโต เวลาที่ผู้เข้ามารับการรักษาได้เห็นโลโก้ เราอยากให้มองเห็นว่าชีวิตของพวกเขาไม่ต่างไปจากต้นไม้ ในวันที่เจอปัญหาและอุปสรรค ไม่แปลกที่ตัวคุณจะโง้มตัวลง ป่วย หรือเหนื่อย นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา”

นอกจากนี้ มิวยังออกแบบ ‘Happiness Bag’ โดยมีแนวคิดที่อยากให้ผู้ได้รับเรียนรู้การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันโดยใส่รายละเอียดของคำว่า ‘Happiness’ ตัวเล็กๆ ไปรอบๆ ปากถุง เพื่อจะสื่อให้ทุกคนเข้าถึงและเข้าใจว่า ทุกคนสามารถสัมผัสกับความสุขเล็กๆ ที่มีอยู่รอบกายด้วยตัวเองได้

“สำหรับ Happiness Bag เราออกแบบรายละเอียดให้มีโลโก้ต้นไม้ของคลินิก มีดีเทลเล็กๆ อย่างคำว่า ‘Happiness’ ตรงปากถุง เพราะเราอยากมอบเป็นคำอวยพรให้คนไข้ เพื่อสื่อให้เห็นว่าความสุขเล็กๆ ตรงนี้จะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้ เวลาคนไข้จะหยิบยาแล้วได้เห็นคำคำนี้ อาจช่วยเตือนใจพวกเขาและกลับมามองโลกในมุมบวกได้”

ภายในคลินิก ยังติดตั้งผลงาน ‘Wisdom Art Toys’ งานวิทยานิพนธ์ของเขาไว้ต้อนรับผู้มาเยือนสำหรับเป็นตัวแทนที่สื่อถึงชีวิตมนุษย์ซึ่งมีทั้งเปลือกนอกที่ต้องแสดงออกมาเพื่อสร้างภาพชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง และ ‘เปลือกใน’ ของจิตใจที่บางครั้งอาจต้องปิดบังความทุกข์ ความเศร้า แล้วแสดงออกมาในทางตรงกันข้ามผ่านรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ Wisdom Art Toys ถูกถ่ายทอดโดยได้แรงบันดาลใจมาจากประติมากรรมเทพีเสรีภาพซึ่งถูกเปลี่ยนมงกุฎที่สวยงามมาเป็นมงกุฎใบกัญชา เปลี่ยนคบเพลิงที่สว่างไสวเป็นบ้องกัญชา เพื่อเตือนสติให้ผู้พบเห็นได้ใช้ปัญญาและยอมรับว่า แม้เราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็น ‘คนเก่ง คนดี และมีความสุข’ ได้ 

“เพราะการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เราไม่ได้ทำงานเชิงรับแค่การรักษาผู้ป่วย แต่เรายัง ‘ทำงานเชิงรุก’ ในการให้ความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อส่งเสริมและป้องกันก่อนการเจ็บป่วย เมื่อเป้าหมายการทำงานชัดเจน อย่างแรกเราเลยทำเฟสบุ๊คก่อนที่จะเปิดคลินิก และพยายามจัดทำเนื้อหาในสื่อออนไลน์ของเราให้ครอบคุลมหัวข้อและปัญหาต่างๆ ที่คนในสังคมกำลังประสบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในเรื่องกลุ่มโรค หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัย เช่น กลุ่มความรู้เกี่ยวกับเด็ก ครอบครัว ความรัก เป็นต้น 

“ขณะเดียวกัน ด้วยการวางโพซิชั่นคลินิกว่าเป็น Health & Wellness Center เราจึงพยายามสร้างกิจกรรมอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย โดยได้มีการลงนามความร่วมมือการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผ่านโครงการ “สุขภาพดี ชีวิตมีสุข” โดยความร่วมมือของ 3 องค์กรระหว่าง พิชญานิน คลินิก สมาคมภริยาแพทย์แห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และบริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งข้อดีของการเปิดในห้างสรรพสินค้า เลยทำให้เราเข้าถึงกลุ่มประชาชนได้ง่ายขึ้น ที่ผ่านมาเรามีทั้งการอบรม การบรรยาย และสัมมนาเรื่องการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจโดยไม่มีค่าใช้จ่ายซึ่งจะจัดให้เป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยมีความรู้ในการรับมือหากวันใดวันหนึ่งตัวเขาหรือคนรอบข้างมีปัญหาด้านจิตใจ เช่น หัวข้อ “รู้ทันจิต ชีวิตเป็นสุข” ที่ประสบความสำเร็จได้รับเสียงตอบรับเกินคาด ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับประโยชน์ เข้าใจตน เข้าใจคนอื่น สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน 

“ด้วยแบคกราวน์ที่เรียนมาทางออกแบบ ทำให้ผมไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการทำธุรกิจใดๆ มาก่อนเลย การมาทำคลินิกนอกจากจะเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้เข้ามาสัมผัส ได้ความรู้ และฝึกฝนการบริหาร ทั้งการจัดการ การวางแผน เรื่องกฎหมาย และได้ความรู้มากขึ้นแล้ว อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปมากหลังจากมีโอกาสได้ทำงานด้านสุขภาพจิตให้กับคนคือผมได้เห็นว่าการเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน คนแต่ละคนจะเจอปัญหาและมีวิธีแก้ที่แตกต่างกันไปด้วย นั่นเลยทำให้ผมยอมรับและเข้าใจความหลากหลายเหล่านั้น รวมถึงมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นเยอะ ดังนั้น ในส่วนของคลินิก ผมจึงอยากให้พิชญานินเป็นสถานที่ที่หากใครพบปัญหาอะไร เราพร้อมจะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่คอยรับฟังและเป็นเพื่อนร่วมทางเสมอ แม้ตอนนี้เรามีอยู่ที่เดียว แต่อนาคต ถ้าเราขยายออกไปได้ พวกเราอยากจะขยายไปให้ทั่วถึงเพื่อกระจายความช่วยเหลือให้ได้มากขึ้น 

“ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานที่มีคุณค่า ยึดหลักคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ สิ่งที่ผมอยากบอกกับผู้ที่กำลังเผิชญกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าคุณจะทุกข์จากโรคที่เป็นอยู่ จากความรู้สึกนึกคิดภายใน หรือจากปัจจัยภายนอกว่าสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ มันไม่ใช่ว่าคุณเกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้นและจะต้องเป็นหรือมีความทุกข์แบบนั้นตลอดไป ผมอยากให้รู้ว่ามันมีหนทางที่สามารถช่วยให้คุณหายดีและกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ที่สำคัญ การที่คุณป่วยไม่ใช่เรื่องผิด ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับใครก็ตาม ดังนั้น หากคุณไม่สบายใจ คุณสามารถบอกคนใกล้ตัวให้เขารู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เป็นเซฟโซนของคุณ การได้รับการซัพพอร์ตจากครอบครัว การอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสม รวมถึงการมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล จะเป็นปัจจัยส่งเสริมที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพใจที่ดีขึ้นและกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขทุกวันครับ”  

ภาพ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร
เพิ่มเติม: www.pichayaninclinic.com

บทความที่เกี่ยวข้อง