‘ยักษ์กะโจน’ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ปลอดสารพิษ สนับสนุนชีวิตยั่งยืน

Care

ชื่อ “ยักษ์กะโจน” อาจฟังดูแปลกๆ ไม่ค่อยเข้ากับการเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพเท่าไร แต่ถ้าบอกว่า “ยักษ์” มีที่มาจากชื่อของ คุณยักษ์-วิวัฒน์ ศัลยกำธร และ “โจน” มาจาก คุณโจน จันได สองผู้ก่อตั้งร้านที่มีประสบการณ์โชกโชนเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมแบบปลอดสารพิษ และเป็นที่รู้จักในหมู่นักเรียนกสิกรรมธรรมชาติของพวกเขาว่า “ครูยักษ์” และ “ครูโจน” … คุณก็คงมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่า ถ้ามาที่ร้านยักษ์กะโจน เมื่อไร จะได้กินผักผลไม้คุณภาพที่ปลอดสารพิษอย่างแน่นอน

แต่… เดี๋ยวก่อน คอนเซ็ปต์ของการเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพของยักษ์กะโจนยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ส่วนจะมีอะไรอีกบ้าง วันนี้  hhc Thailand จะมาแนะนำให้รู้จักกันค่ะ 

ผักผลไม้ปลอดสารพิษ สะอาด รู้แหล่งที่มา

หลักการแรกในการคัดสรรวัตถุดิบมาใช้ในการปรุงอาหารของยักษ์กะโจนคือ พวกเขาจะไม่ซื้อวัตถุดิบตามตลาดที่ไม่รู้แหล่งที่มาในการเพาะปลูก แต่จะรับซื้อจากกลุ่มลูกศิษย์ที่เคยผ่านการอบรมอย่างจริงจังกับครูยักษ์และครูโจนเท่านั้น 

ลูกศิษย์ทุกรุ่นของครูยักษ์และครูโจนจะปลูกผักผลไม้ในดิน ซึ่งนับเป็นวิธีที่ยั่งยืนและทำให้พืชผักได้รับสารอาหารมากที่สุด และแน่นอน เกษตรกรรมของพวกเขาเป็นแบบปลอดสารพิษ นอกจากนั้น เกณฑ์การรับซื้อผลผลิตของยักษ์กะโจนที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ พวกเขาจะไม่รับซื้อพืชผักจากเกษตรกรที่ปลูกเพื่อขายเพียงอย่างเดียว แต่เกษตรกรจะต้องปลูกไว้กินเองด้วยและนำผลผลิตที่เหลือมาจำหน่าย เหตุผลนั้นเพราะพวกเขาต้องการสนับสนุนวิถีชีวิตที่พึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด และผลพลอยได้ที่ผู้บริโภคจะได้รับก็คือ เมื่อเกษตรกรปลูกไว้กินเองด้วย เราจึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าผลผลิตของพวกเขามีคุณภาพ ปลอดสารพิษจริง 

การที่ครูยักษ์และครูโจนมีลูกศิษย์กระจายตัวอยู่ในแต่ละภาคของประเทศไทย ยังทำให้เกิดข้อดีอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ผักผลไม้ที่พวกเขารับซื้อมาจะเป็นผักผลไม้ที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะผักพื้นบ้านหายากที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เช่น ผักเชียงดา ผักโสมไทย ซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเพราะจะได้รับสารอาหารแร่ธาตุจำเป็นที่ครบถ้วนจากการกินผักผลไม้หลากหลายสายพันธุ์

อาหารทะเลสดใหม่จากประมงพื้นบ้าน

ที่ยักษ์กะโจน ไม่ใช่แค่ผักผลไม้เท่านั้นที่มีให้เลือกหลากหลาย แต่เมนูปลาของที่นี่ก็ยังมีปลาอีกหลายชนิดที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ปลาโฉมงาม ปลาสีกุน ปลาใบปอ ปลาใบขนุน เป็นต้น

นี่คือข้อดีข้อแรกที่ได้มาจากการรับซื้อปลาและอาหารทะเลจากประมงพื้นบ้าน โดยประมงพื้นบ้านที่ยักษ์กะโจนรับซื้อมานั้น มีจากทั้งที่ชุมพร สมุทรปราการ จันทบุรี และตราด 

นอกจากนั้น อาหารทะเลจากประมงพื้นบ้านที่ใช้เรือขนาดเล็ก ออกเรือไปกลับภายในครึ่งวัน ก็ยังรับประกันความสดใหม่และปลอดสารฟอร์มาลีน และการอุดหนุนประมงพื้นบ้านก็นับเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้สัตว์ทะเลได้มีโอกาสขยายพันธุ์ เพราะประมงพื้นบ้านมักทำกันในระยะไม่เกิน 3 ไมล์ทะเลจากฝั่ง จับสัตว์น้ำตามฤดูกาล และเลือกจับในปริมาณไม่มาก 

อร่อยแบบธรรมชาติ ปรุงรสน้อยที่สุดเพื่อสุขภาพ

hhc Thailand เคยไปลองชิมอาหารที่ยักษ์กะโจนมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ต้องบอกว่านอกจากความสดสะอาดของวัตถุดิบอย่างที่ว่ามาแล้ว ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่เราสังเกตได้ชัดเจนก็คือ ทางร้านจะไม่เสิร์ฟน้ำปลาพริกหรือว่าซอสต่างๆ เหมือนอย่างร้านอื่นๆ และเมนูแต่ละจานก็นับว่ารสชาติไม่จัดจ้านอย่างที่เราคุ้นเคยกัน

ใช่แล้วค่ะ ที่ยักษ์กะโจน เขาจะไม่ใช้ผงชูรสหรือน้ำปรุงรสใดๆ และการปรุงก็จะพยายามปรุงให้น้อยที่สุด เพื่อให้เป็นรสธรรมชาติมากที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา 

สารภาพเลยว่าชิมครั้งแรก เราก็ไม่ค่อยจะคุ้นกับรสชาติแบบนี้เท่าไร แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว อาหารที่เรากินกันทุกวันอาจผ่านการปรุงรสมากเกินไป จนอาจเป็นต้นตอไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคไต เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ไม่ต้องห่วงนะคะ ถึงจะไม่มีน้ำปลาพริกให้ แต่ทางร้านจะเตรียมน้ำมะนาวและเกลือไว้ให้เราใช้เพิ่มปรุงรส และสำหรับเมนูอาหารทะเลบางจานก็ยังเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่ก็เป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดที่รสชาติไม่จัดจ้านเกินไป เรียกว่าอร่อยแบบกำลังดีและสุขภาพดี

.

ใครสนใจอยากไปลองชิมอาหารสดใหม่ สะอาด และดีต่อสุขภาพ ที่ยักษ์กะโจนบ้างแล้ว ตอนนี้ ทางร้านมีสาขาในกรุงเทพฯ ให้เลือกถึง 3 สาขา คือ บรรทัดทอง หมู่บ้านสัมมากร และพระรามสอง

ใกล้ที่ไหน เลือกไปที่นั่น หรือจะแวะไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเองที่บ้าน ทางร้านก็มีจำหน่ายให้ค่ะ

ที่มา: 

thamturakit.com
facebook.com/yakkajon
bangkokbiznews.com

ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม: bangkoklifenews.com

บทความที่เกี่ยวข้อง