อยู่ๆ ย่อหน้าหนึ่งในหนังสือ ‘เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด’ (Youth, it’s painful) โดย คิม รันโด (Kim Rando) ที่ว่า “ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปเสียหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูกาลนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น…จงอดทนรอคอยเมื่อวันนั้นมาถึง แล้วคุณจะเป็นดอกไม้ที่งดงามไม่แพ้ใครเลย” ก็ผุดขึ้นมาในหัวระหว่างที่ ยี – วันเพ็ญ ชัยบุญญลักษณ์ เริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของเธอให้เราฟัง ยีคือลูกสาวคนเดียวของครอบครัวคนจีนชนชั้นกลาง เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีความฝันอยากเป็นนางแบบมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้น ภาระหน้าที่ของการเป็นภรรยา คุณแม่ และลูกสาว ทำให้เธอจำต้องเก็บความฝันเอาไว้และทำหน้าที่ต่างๆ ที่กินเวลากว่าครึ่งชีวิตของตัวเองอย่างดีที่สุด
ในขวบปีที่ 57 ช่วงวัยที่ดูเหมือนว่าฝันของเธอจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ในทางตรงกันข้าม ฝันนั้นได้เวียนกลับมาในชีวิตของเธออีกครั้ง สำหรับยีแล้ว ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้น และในคราวนี้ เธอสามารถทำในสิ่งที่ต้องการในจังหวะที่มั่นคง ไม่ต้องเร่งรีบล่าฝันเมื่อวันเก่า คงไม่ผิดนักที่จะพูดว่านี่เป็นวันของเธอแล้ว และเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้คือการผจญภัยครั้งใหม่ของนางแบบวัย 59 กับหัวใจที่ยังคงสดใส สวยงาม และกำลังผลิบานในฤดูกาลของตัวเอง
ความฝันที่หล่นหาย
ยีเล่าให้เราฟังถึงชีวิตในวัยเด็กว่าเธอเป็นคนชอบแต่งตัว รักในแฟชั่น และอยากเป็นนางแบบ เมื่อเริ่มเข้าวัยรุ่น เธอไปเดินสยามทุกวัน และมีร้านประจำคือ โซดา ป็อป แบรนด์ยอดนิยมสำหรับวัยรุ่นในสมัยนั้น ไปบ่อยจนสมัครเป็นพนักงานขายที่นั่น ในเวลานั้นเธอคิดว่าฝันของเธอคงจะใกล้จะเป็นจริงแล้ว ทว่าก็ยิ่งห่างไกลออกไป เพราะยีถูกจดจำว่าเป็นเพียงพนักงานขาย ไม่ใช่นางแบบ เธอตัดสินใจแต่งงานเมื่ออายุย่างเข้า 21 จากอาชีพพนักงานขายก็ถูกเปลี่ยนบทบาทไปสู่การเป็นภรรยาและคุณแม่แบบเต็มตัว ด้วยหน้าที่ที่เข้มข้นในทุกๆ วัน ความสนใจของเธอมาอยู่ที่ลูกๆ และครอบครัวทั้งหมด จนเมื่อจบงานคุณแม่และภรรยาฟูลไทม์ก็ถึงเวลาของการกลับทำหน้าที่ลูกเพื่อดูแลคุณพ่อคุณแม่ของเธออีกครั้งจนท่านทั้งสองจากไปตามอายุขัย เป็นเวลาไล่เลี่ยกับการสูญเสียอาหมุย สุนัขที่อยู่เป็นกำลังใจให้เธอมากว่า 10 ปี การลาจากของสามชีวิตผู้เป็นที่รักทำให้ชีวิตของยีถูกปกคลุมด้วยความหมองหม่น แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายใหม่ของเธอ
“พี่ใช้ชีวิตครอบครัวมาตลอดตั้งแต่แต่งงาน พอลูกๆ โตขึ้นและดูแลตัวเองได้แล้ว ถึงได้มีช่วงเวลาเป็นของตัวเอง มีโอกาสได้กลับมาทำงานอีกครั้ง ได้เป็นพนักงานขายประจำอยู่ในห้างสรรพสินค้า เอาจริงๆ พี่เองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าเราจะได้ทำงานนี้นะ เพราะอายุเยอะแล้ว แต่ปรากฏว่าที่นั่นเป็นบริษัทเปิดใหม่และเจ้าของเป็นเด็กรุ่นใหม่ทั้งหมด พอได้คุยกัน ด้วยคุณสมบัติของพี่ที่ตรงตามที่เขาต้องการเพราะมีประสบการณ์เรื่องการขายเสื้อผ้ามาก่อน และเขาไม่ได้มองว่าอายุคือข้อจำกัด เลยได้ทำงานนี้ แต่ทำได้สักพักโควิดก็เข้ามา ทุกที่ถูกประกาศล็อกดาวน์ งานดังกล่าวจึงต้องจบไป
“หลังจากล็อกดาวน์ จังหวะนั้นยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ตระเวณออกบูธขายสินค้าตามที่ต่างๆ และประกาศหาพนักงานระยะสั้นๆ พี่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี เลยไปสมัครอีกครั้ง ตอนนั้นพี่ทำงานติดกันหลายวันและไม่ได้กลับบ้าน แต่เราก็ไลน์ไปถามไถ่ถึงคนที่บ้านและอาหมุยอยู่ตลอด ผ่านไป 2 วัน พี่เห็นว่าไม่มีการอ่านไลน์เลยโทรไปแทนและได้ความว่าอาหมุยไม่ยอมกินข้าว กระทั่งน้องเสีย เหตุการณ์ของอาหมุยทำให้พี่รู้สึกแย่มากและโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุการจากไปของเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานนักหลังจากที่คุณพ่อพี่เพิ่งเสีย หนำซ้ำในเวลาไล่เลี่ยกัน คุณแม่พี่ก็มาเสียชีวิตไปอีกคน ความรู้สึกเหมือนชีวิตเราเหลือแต่ซาก ลูกๆ เห็นแม่เป็นทุกข์มาก ก็เป็นห่วง กลัวจะเป็นซึมเศร้าเพราะเอาแต่อยู่ในห้องคนเดียว ลูกชายจึงตัดสินใจโอนสตางค์มาให้และขอร้องให้เราออกไปข้างนอก ไปใช้ชีวิตบ้าง
“ในช่วงชีวิตที่เหมือนเหลือแต่ซากนี่แหละ พี่ก็นั่งไถเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ จนได้เจอภาพของเพื่อนที่โพสต์รูปแฟนของเขาที่รุ่นราวคราวเดียวกับเรา แต่เขาสวยและดูดีกว่าตอนอายุ 30 อีกนะ เราไปคอมเม้นท์จนเพื่อนช่วยนัดแฟนเขากับเราให้ได้เจอกัน และในครั้งนั้นคือวันเปลี่ยนชีวิตเลยก็ว่าได้ จำได้ว่านัดกันที่คาเฟ่แถวๆ สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีย์ พี่ไปถึงก่อนเวลาและได้เห็นช่างภาพกำลังทำงานกันอยู่ ส่วนพี่เองกำลังหลงทิศว่าร้านที่นัดอยู่ตรงไหน จนตัดสินใจเดินไปถามทาง เด็กๆ บอกทางเสร็จสรรพ แต่สิ่งที่เขาถามกลับมาคือ “พี่เคยถ่ายแบบไหมครับ?” หลังจากแลกไลน์กัน น้องช่างภาพติดต่อกลับมา บอกวัน เวลา สถานที่ และงบของการถ่ายแบบว่าพี่สนใจไหม เอาจริงๆ ในใจตอนอ่านข้อความ เรียกว่าลิงโลดเลยนะ (ยิ้ม) พี่ตอบตกลง เพราะนี่คือสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด
“งานแรกที่ได้ทำเป็นการถ่ายแบบที่ได้รับบรี๊ฟมาว่าเป็นภาพบรรยากาศภายในสำนักงาน ด้วยความที่เรามือใหม่ ทุกอย่างเลยเกร็งไปหมด ทำอะไรเก้ๆ กังๆ เพราะยังไม่รู้และยังไม่เข้าใจว่าจะต้องทำท่าทางหรือยิ้มอย่างไรถึงจะได้ภาพตามที่เขาต้องการ กว่าจะเข้าใจว่ามู้ดและโทนภาพเป็นแบบไหนคือช่วงท้ายๆ ของวันนั้นเลย (หัวเราะ) ก่อนกลับ น้องช่างภาพทิ้งท้ายว่า “ถ้าคราวหน้าถ้าพี่ยีเป็นอย่างนี้ ผมให้บัดเจทเท่านี้ไม่ได้แล้วนะครับ” แม้ฟังดูจะหวาดเสียวอยู่ก็จริง แต่ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เอาจริงๆ ตอนนั้นในใจไม่ได้คิดเรื่องสตุ้งสตางค์อะไรเลย ที่สนใจมากกว่าคือเรายังมีคราวหน้าอีกนะ (ยิ้ม) หลังจากนั้น พี่ได้งานที่เป็นการถ่ายแบบเดี่ยวกับโจทย์คือการออกกำลังกาย จนขยับมาทำงานกับโมเดลลิ่งต่างๆ ได้ไปทำงานงานโฆษณา รวมถึงงานอีเว้นท์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมานี้ด้วย ซึ่งทุกๆ งานถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่และสนุกมากสำหรับพี่เลย”
วันที่ฝันถูกสานต่อ
“อย่างที่บอกว่างานต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พี่ยีชอบทุกงานเลยนะคะ แต่ถ้าถามว่าความฝันของพี่คืออะไร พี่อยากเป็นนางแบบอาชีพที่เดินบนรันเวย์ เป็นความฝันมาตั้งแต่เด็กแล้ว คงเป็นเพราะตัวเองชอบความสวยงาม ชอบเสื้อผ้า ชอบแต่งตัว และความมั่นใจของพี่ที่มีเกินร้อยมาตั้งแต่เด็ก เลยเป็นแฟนพันธุ์แท้ของช่องแฟชั่นตั้งแต่สมัยที่ยังมีเคเบิ้ลทีวีอยู่ ดูจนแม่ถามว่าดูอะไรมีแต่คนเดินไปเดินมา แต่สำหรับพี่นั่นเป็นความสุขเลยนะ ดูไปก็อยากจะเป็นนางแบบคนนั้นคนนี้ที่ได้เดินบนแคทวอล์ก
“พี่ยังจำการเดินแบบครั้งแรกของตัวเองได้ดี คืนนั้นประมาณ 4 ทุ่มแล้ว พี่นั่งไถโทรศัพท์แล้วเจอว่าเด็กๆ สาขาแฟชั่นของคณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรจะเปิดแคสต์นางแบบเพื่อมาเดินในงานวิทยานิพนธ์ พอเห็นคุณสมบัติแล้ว อายุเราเกิน ก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน เลยคอมเม้นท์ลงไปใต้โพสต์ว่า “เสียดายค่ะ อายุเกินแล้ว” แต่เราได้รับคำตอบกลับมาว่า “ไม่เกินหรอกครับ ปีที่แล้วป๋าตึก (ภูษิก พัฒนปราการ) ยังไปเลย” พี่จำได้ลางๆ ว่าป๋าตึกมีเส้นทางชีวิตคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าเขาเป็นผู้ชาย พอได้คำตอบอย่างนี้ เลยบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
“วันรุ่งขึ้น พอถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร พี่เห็นเด็กๆ หุ่นนางแบบเดินสับๆ ในใจคิดว่า ‘ตายละ ยัยป้าอย่างฉันมาทำอะไรที่นี่’ อายก็อายนะ นี่พูดจริงๆ ซึ่งเด็กๆ คิดว่าพี่เป็นผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาแคสต์ ไม่ได้คิดว่าตัวพี่เองนี่แหละที่มาแคสต์เอง ช่วงเวลาระหว่างรอ พี่สองจิตสองใจอยู่หลายรอบมากๆ ว่ากลับดีไหม จนได้ยินให้เข้าแถวเพื่อลงทะเบียน นาทีนั้นพี่ตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่า เข้าก็เข้า แต่ก็ยังไปลังเลหน้างานอีกเพราะรู้สึกกดดัน พี่สะกิดน้องๆ ถามว่ากลับตอนนี้ทันไหม แต่เด็กๆ ก็ให้กำลังใจดีมากว่า เรามาถึงตรงนี้แล้วนะคะ เลยฮึบสุดท้ายตอนถึงเลขที่เราแล้วว่า ‘โอเค ฉันต้องมั่นใจ แล้วทำให้ดีที่สุด’ พี่คิดว่าพี่โชคดีตรงที่ไปโดยไม่รู้จักใคร เพราะที่นั่นมีทั้งคุณจิตต์สิงห์ สมบุญ คุณอาร์ต อารยา อินทรา และคนในวงการแฟชั่นหลายๆ คน สิ่งเดียวที่พี่ต้องจัดการก็แค่ความรู้สึกของตัวเอง ทิ้งความเครียด ความกดดัน สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง และทำให้เต็มที่ ซึ่งผลตอนแรกเด็กๆ ไม่ได้เลือกพี่เลยนะ กระทั่งคุณอาร์ต อารยาวางไมค์ลงและหันไปถามกับเด็กๆ ว่าไม่มีใครเลือกคุณยีเหรอ? ซึ่งมีน้องนักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นว่าเลือกพี่ คุณอาร์ทจึงให้พี่เดินอีกรอบ รอบนี้ล่ะที่พี่ได้เป็นหนึ่งในนางแบบของงานนั้น ถือเป็นการเดินบนรันเวย์ครั้งแรกเลยค่ะ (ยิ้ม)”
หลังจากรันเวย์แรก ยังมีอีกหลายๆ ผลงานที่น่าภูมิใจของยี ทั้งการถ่ายแบบและเดินแบบให้กับแบรนด์อย่าง Wacoal Thailand รวมไปถึงการไปเป็นส่วนหนึ่งของงาน Bangkok International Fashion Week หนึ่งในเวทีแฟชั่นโชว์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
“งาน Bangkok Fashion Week ปี 2023 ที่ผ่านมา เป็นอีกงานที่พี่ตื่นเต้นมากเหมือนกัน พี่เดินให้กับแบรนด์ FRI 27 NOV. ก่อนเริ่มงาน ทางแบรนด์ให้ฟิตติ้ง 2 ชุดแล้วไปขายลูกค้าก่อน จนวันจริงถึงมารู้เอาหน้างานว่าพี่เป็นคนเดินเปิดงานกับป๋าตึก เอาจริงๆ ความรู้สึกของการเป็นคนดูกับคนเดินแตกต่างกันมากเลยนะ ตอนเป็นเด็ก พี่คิดแค่ว่าสวยจังเลย หน้าสวย เสื้อผ้าสวย เดินเฉิดฉาย เดี๋ยวไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับมาเดินใหม่ ชอบจังเลย แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่างานไหนจะมีรายละเอียดมากมายซ่อนอยู่ ไหนจะบล็อกกิ้งบนเวทีในวันที่จะเดิน ไหนจะเรื่องการนำเสนอเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ไหนจะเรื่องท่าทางการเดิน หรือการที่เราต้องจัดการความรู้สึกก่อนเดินอีก เพราะฉะนั้น สำหรับพี่ ช่วงเวลาหลังเวทีจึงเป็นช่วงเวลาที่ทั้งกดดัน ตื่นเต้น แต่มีความสุขไปพร้อมๆ กัน
“ทุกๆ ครั้งหลังจากการทำงานจบลง พี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยที่ได้รับโอกาสดีๆ มาตลอด จากฝันที่ไกลมากๆ ของเรา กลายเป็นเวลานี้เราได้ทำสิ่งที่อยากทำ เรียกว่าเกินคาดและเกินกว่าที่เคยฝันไว้มาก ทั้งได้เดินแบบบนแคทวอล์กแบบที่อยากทำมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงการทำงานกับป๋าตึกสักครั้งในชีวิต หรืองานโฆษณาที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาทำ จนได้เห็นภาพตัวเองบนบิลบอร์ดขนาดใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าสักวันภาพตรงนี้จะต้องเป็นฉันและมันก็เกิดขึ้นแล้ว พอย้อนกลับไปมองว่าตัวเองใช้เวลาและเดินทางมาไกลมากกว่าจะมาถึงตรงนี้ เลยเป็นความรู้สึกทั้งดีใจและภูมิใจที่ตัวเองได้ทำตามฝันแล้ว (ยิ้ม)”
เรื่องราวในรอยสัก
“ย้อนไปตอนที่พี่ยียังเด็กๆ เราถูกปลูกฝังว่าผู้หญิงมีรอยสักเป็นเรื่องต้องห้าม คนเขาจะมองว่าเป็นมาเฟีย เป็นกลุ่มเป็นแก๊งอะไรแบบนั้น พอมาในยุคสมัยนี้ การสักเริ่มดูเป็นศิลปะมากขึ้น ความรู้สึกของสังคมเลยซอฟท์ลงไปด้วยตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย พี่ยีเองก็เพิ่งมาสักเอาตอนโตนี่ล่ะ รูปแรกคืออาหมุย สุนัขที่อยู่กับพี่มากว่า 10 ปี เรียกว่าผูกพันกันมาอย่างยาวนาน แบบที่มองตาก็สื่อใจถึงกันได้แล้ว พออาหมุยของพี่กลับดาวหมาไปเมื่อหลายปีก่อน นั่นจึงเป็นรอยสักรูปแรก ตอนนั้นพี่อายุ 56 ได้มั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ มีรูปที่สอง สาม และมาเต็มแขนแบบที่เห็น แต่ลายสักของพี่ก็มีเรื่องราวในแต่ละภาพด้วย ทั้งภาพของในหลวง รัชกาลที่ 9 กับคุณทองแดง ลาย Mandala ซึ่งเป็นลายที่สามารถต่อลายไปเรื่อยๆ ได้ รวมถึงรูปคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่เอง”
สำหรับยีแล้ว แต่ละลายสักบนร่างกายของเธอ ไม่ใช่เพียงการฝังเม็ดสีลงไปยังใต้ผิวหนัง แต่ภาพแต่ละภาพ คือความรัก ความผูกพัน และความทรงจำ ที่ล้วนมีความหมายและที่มา อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นตัวตน ทัศนคติ และความคิดของเธอ ซึ่งยีบอกกับเราว่า เราไม่ควรให้ความคิดมาจำกัดสิ่งที่เรารักและอยากทำ
“ใครจะคิดหรือมองพี่ว่า โห พี่ยีมาทรงอย่างแบดเลย แต่พี่ขอเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเองในแบบที่เป็นและมีความสุขก็พอ”
เพราะดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของตัวเอง
“เวลานี้ ถามว่ายังอยากทำอะไรอีกบ้างไหม พี่อยากเป็นนักแสดงนะ (ยิ้ม) นักแสดงคืออาชีพที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และการเรียนรู้ โดยเฉพาะนักแสดงละครเวที อยากทำมาก แต่แน่นอนว่างานนี้ไม่ง่ายเลย ยิ่งด้วยวัย ทักษะ และประสบการณ์ต่างๆ ของพี่ที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่พี่อยากเรียนรู้ศาสตร์ด้านนี้อย่างจริงจัง และกำลังหาหนทางที่จะไปถึงจุดนั้นให้ได้อยู่
“พี่ว่าทุกคนมีความฝันของตัวเอง ซึ่งเส้นทางของการตามฝันแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนได้รับโอกาส บางคนต้องตามหาโอกาส หรืออีกหลายๆ คนอาจไม่เคยมีโอกาสเลย แต่สิ่งหนึ่งจากประสบการณ์ของพี่ คือไม่ว่าโอกาสนั้นจะมีหรือไม่ จะมาเมื่อไหร่ สิ่งที่เราสามารถทำได้เลยคือการเตรียมตัวเราให้พร้อมเสมอ ชอบอะไร อยากทำอะไร ให้ฝึกฝนตัวเองไว้ หาความรู้ใส่ตัว หรือหาเส้นทางให้เราได้เข้าใกล้สิ่งที่เราอยากจะทำ พี่เองเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่นมากๆ จนอยากเป็นนางแบบ อยากเดินแบบมาตั้งแต่เด็ก อย่างที่เล่าว่าพอเข้าวัยรุ่นก็เริ่มไปซื้อเสื้อผ้าที่สยามเซ็นเตอร์ ไปซื้อบ่อยจนได้เป็นพนักงานขายเองเลย ตอนนั้นยังคิดเลยว่าฝันของฉันคงจะใกล้เข้ามาแล้วล่ะ เพราะเรามีโอกาสได้เจอทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นนางแบบ ช่างภาพ ช่างผม ช่างแต่งหน้ามากมาย แต่สุดท้าย ฝันนั้นยังไม่ถูกเติมเต็มให้เป็นจริง จนมามีครอบครัวและใช้เวลาครึ่งชีวิตกับหน้าที่ภรรยา แม่ และลูก แต่พี่ก็ไม่ทิ้งฝันของตัวเอง พี่ยังคงเตรียมพร้อมให้ตัวเองเสมอ ยังคงดูแลตัวเองอย่างดี ทั้งสุขภาพกายและใจ เคยชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่นอย่างไร มาตอนนี้พี่ยังเป็นเหมือนเดิม จนวันหนึ่งเมื่อโอกาสเข้ามา พี่พร้อมเดินหน้าและคว้าโอกาสนั้นไว้
“พี่คิดว่าต่อให้เราล้มเหลวกี่สิบ กี่ร้อย กี่พันครั้ง แต่อย่างน้อยถ้าเราได้ทำ เราจะได้รู้และมีบทเรียน หรือย่างน้อยๆ รู้ว่าโอเค งานนี้ไม่เหมาะกับเรา ถ้าไม่ทำ เราจะไม่มีวันรู้ได้เลย พี่ว่าบางทีความฝันก็เหมือนกับเรารักของชิ้นหนึ่ง รักมากๆ เลยของชิ้นนี้ และเรายังเก็บเขาไว้ในลิ้นชักนานจนลืมไปแล้ว จนวันหนึ่งเราไปเจอของรักชิ้นเดิมชิ้นนี้ แล้วหยิบขึ้นมาดู เอ้ายังอยู่นะและเรายังรักเขาเหมือนเดิมเลย ของรักชิ้นนั้นก็เหมือนกับฝันนี่แหละ เราอาจนึกว่าหายไปแล้วนี่นา แต่จริงๆ ฝันเรายังอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังรักความฝันนั้น อย่าหยุดเพียงเพราะเราคิดว่ามันอยู่ไกล หรือมันสายไปแล้ว ทุกอย่างไม่มีคำว่าสาย ถ้าเราได้เริ่มลงมือทำค่ะ”
–
ภาพ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร