‘เธอกับฉันเห็นต่างกันได้’ หลักครองคู่ของ จิรายุ คูอมรพัฒนะ และโยธา สัมพัสนีธำรง

Human / Self-Inspiration

ความรักไม่เคยมีสูตรสำเร็จ ในหลายๆ ครั้ง รักที่พอดีกันอาจมาจากความชอบที่คล้ายกัน ขณะที่อีกหลายๆ คู่ก็พอใจกับความสัมพันธ์ในแบบขั้วตรงข้าม เพราะแต่ละคู่ต่างก็มีความรักตามแบบฉบับของตัวเอง  

จิ – จิรายุ คูอมรพัฒนะ คือศิลปินและนักวาดภาพประกอบที่สร้างผลงานที่เรารู้จักกันดีในนาม “Jirayu Koo” ส่วนโย – โยธา สัมพัสนีธำรง เป็นนักออกแบบ อาร์ตไดเรกเตอร์ และช่างภาพ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน ก่อนที่จะก้าวข้ามเฟรนด์โซนมาเป็นคนรัก และคู่ชีวิตแบบในปัจจุบัน และนี่คือเรื่องราวความรักของจิและโยที่ต่างสมดุลความเหมือนและต่างในตัวเอง กับความสัมพันธ์ในแบบ เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ และเราต่างก็ยังได้หมุนรอบตัวเอง

ความรักที่ไม่ได้เกิดจากส่วนผสมที่ลงตัวมาตั้งแต่แรก 

จิ: เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนที่ลาดกระบัง  ถ้านับจนถึงตอนนี้ก็มากกว่า 20 ปี เรา 2 คน เรียนภาควิชาเดียวกันเลย แต่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ซึ่งคิดว่าดีแล้ว เพราะถ้าคบกันตั้งแต่ตอนนั้นก็อาจจะไปไม่รอด ซึ่งตอนที่เป็นเพื่อน มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสนุก จิไม่ได้คิดอะไรเยอะ ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรในตัวเขาและคิดว่าถ้าตอนนั้นจิเห็นเขาเป็นคนอีกแบบหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้เลือกเขาตอนหลังก็ได้ เอาจริงๆ ต่อให้ไม่ได้คิดอะไรกับเขาตอนนั้นนะ แต่จิยังมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา คือโยจะเป็นคนที่ผลักดันตัวเองตลอดเวลา ชอบส่งประกวดดีไซน์ ส่วนเราก็ทำงานส่งอาจารย์แค่นี้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเลือกเขาในเวลาต่อมา 

เราขยับจากเพื่อนมาเป็นแฟนกันหลังจากที่เรียนจบแล้ว ซึ่งตอนเป็นแฟน เราทั้งคู่จะมีอีโก้กันมาก มีความตัวฉันตัวเธอ มีความเอาชนะสูง ทั้งคู่เลยนะ แล้วแต่ว่าใครเอาชนะด้วยวิธีการแบบไหน และยังทะเลาะกันเยอะ จริงๆ เมื่อก่อนจิเป็นคนใจร้อนกว่านี้มาก แล้วโยก็เป็นคนใจเย็นมาก แต่ไม่ได้ใจเย็นแบบอะไรก็ได้นะ เขาเย็นและมีเหตุผล นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ไปด้วยกันได้ ซึ่งด้วยความเป็นแฟน ก็อาจจะยังมีความไว้ใจกันน้อยกว่าตอนที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบทุกวันนี้ 

โย: ถ้าเทียบตอนเป็นแฟนเราจะคิดเยอะกว่าตอนที่เป็นเพื่อน แล้วพอมาใช้ชีวิตด้วยกัน อยู่ด้วยกันนานๆ เราเริ่มยอมกันมากขึ้น อีโก้ของเรา 2 คนก็ลดน้อยลง รู้สึกว่าเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจเป็นเรื่องเล็กน้อยในภาพรวมของความสัมพันธ์ 

จังหวะจะรัก

โย: ผมจะตั้งสเป็คในใจไว้ 3 อย่าง แต่แค่มีอย่างหนึ่งก็ดีมากแล้ว คือผมอยากมีแฟนที่รู้จักเพลงที่ผมฟังเกินครึ่ง 

จิ: ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่เลยนะ บางทีนั่งฟังเพลงอยู่ เขาจะหันมาถามว่านี่เพลงใคร แล้วบังเอิญตอบได้ขึ้นมา เขาก็จะแบบ “โอเค เลือกถูกแล้ว” จะโดนทดสอบอยู่เรื่อยๆ (หัวเราะ)

โย: จริงๆ ผมเป็นคนฟังเพลงมากประมาณหนึ่ง แล้วช่วงเรียนผมรู้ว่าคนนี้ชอบฟังเพลง ก็รู้สึกว่าเออก็ดีนะถ้าเราได้คนนี้เป็นแฟน ไปดูคอนเสิร์ตประหลาดๆ ด้วยกันได้ วงที่แบบคนอังกฤษยังเดินออกเลย แต่คนนี้ยังดูอยู่กับเรา (หัวเราะ) 

จิ: ของจิไม่ถึงขนาดว่าต้องคนนี้ ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดว่าคนนี้มีทุกอย่างอยู่ในเช็คลิสต์ แต่เป็นการที่เราเห็นและค่อยๆ เรียนรู้เขา พัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อน มาเป็นแฟน และแต่งงาน แต่เพลงก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเลือกเขาเหมือนกัน เราเห็นเขาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งในยุคนั้นการหาฟังเพลงแบบที่เราสนใจไม่ได้หาฟังกันได้ง่าย คลื่นวิทยุก็ไม่มี อินเทอร์เน็ตก็เบาบางมาก จิขวนขวายมากที่จะฟัง แล้วก็มาเจอว่าผู้ชายคนนี้ก็มีรสนิยมที่ไม่ได้ไกลไปกว่าเรา ก็รู้สึกว่าคนคนนี้น่าจะเป็นคนที่สามารถใช้ชีวิต มีกิจกรรมกับเราได้ไปตลอด 

เติมใจให้กัน 

โย: จิจะเป็นคนที่คอยผลักดันให้ผมออกจาก comfort zone ของตัวเองเสมอ เช่น สมมุติผมถ่ายรูป ผมก็จะมองว่าถ่ายแบบนี้สวยแล้ว พอแล้ว แต่เขาจะแบบ “ลองถ่ายแบบนี้บ้างสิ” แรกๆ ผมก็ไม่ทำนะ เพราะคิดว่าที่เราทำโอเคแล้ว แต่สุดท้ายก็ “อ่ะ ถ่ายก็ได้” พอถ่ายแบบที่เขาบอก ก็เห็นความหลากหลายของงานมากขึ้น เอาจริงๆ เรา 2 คนก็ผลักดันซึ่งกันและกันในเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดนะ  

จิ: ตอนที่เป็นแฟนกันหรือแม้กระทั่งตอนแต่งงานกันใหม่ๆ เวลาเขาแนะนำเรื่องงาน จิไม่เคยเชื่อเลย แต่พอทำตามก็เห็นว่ามันดีจริงๆ อย่างที่เขาบอก ซึ่งจิก็มาคิดว่าเราทั้งคู่ไม่มีใครคิดไม่ดีต่อกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาทำให้เรา บอกเรา แนะนำเรา ก็อยู่บนพื้นฐานที่เขาอยากให้เราดี เพราะฉะนั้น บางที ต่อให้คำพูดมันแรงหรือมีการใส่อารมณ์ในน้ำเสียงโดยที่อาจจะไม่รู้ตัวบ้าง เราก็ต้องปล่อยเพราะเขาไม่ใช่คนที่จะมาทำให้เราแย่ลงอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้น เราก็เริ่มเข้าใจและค่อยๆ ปรับจูนเข้าหากัน 

เพราะเห็นต่างเป็นเรื่องปกติของทุกความสัมพันธ์

โย: นี่เป็นคำที่เราพูดบ่อย Let’s agree to disagree. ก็คือเราจะเข้าใจและยอมรับว่า เราเห็นไม่ตรงกันได้

จิ: เรื่องบางอย่างมันเข้าใจตรงกันไม่ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นว่า ฉันว่าอันนี้มันไม่เค็ม แต่โยบอกว่าเค็ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะเถียงกัน แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่ต้องเข้าใจตรงกัน 100% ก็ได้ เราอาจจะเถียงกันอยู่บ้าง แต่ก็จะพยายามไม่ได้โกรธแบบข้ามวัน แต่ถ้ามาคุมาก เราจะปล่อยไว้ให้เย็นหน่อย พอผ่านไปสักพักหนึ่งก็มูฟออนไปเอง

โย: อย่าไปใส่ใจกับมันมาก เวลาเราไม่เข้าใจกัน ถ้าเราถอยออกมาให้เห็นภาพกว้างๆ มันเป็นแค่พาร์ทเล็กๆ ของชีวิตเราเองนะ

จิ: ตอนยังเป็นแฟนกัน พูดถึงแล้วขำมาก ตอนนั้นเราไปอยู่อังกฤษมา 5 ปี ก่อนไปก๋วยเตี๋ยวชามละ 35 บาท พอกลับมาแล้วไปกินบะหมี่ข้างทางแล้วมัน 50 บาท ตอนนั้นก็คิดว่า โห…ราคามันขึ้นมาขนาดนี้แล้วเหรอ ก็นั่งบ่น บ่นๆ จนโยบอก “เธอบ่นไปเกิน 5 บาทแล้วนะ” คือเสียเวลาชีวิต ทุกวันนี้ก็จะชอบจำคำนี้ไว้ว่า โห เรื่องนี้โมโหไปเกิน 10 บาทแล้วนะ เสียเวลาชีวิตของเรามาก ก็เลยเป็นเรื่องที่ตลกแล้วก็เลยจำมาใช้ 

ปัจจุบันก็ดีเพียงพอแล้ว

โย: เอาจริงๆ เรื่องมีน้องเราไม่ได้ซีเรียสนะ ด้วยอายุ ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจจริงหรือรักษาตัวมาก โอกาสมีก็จะน้อย เรารู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตเราก็สมบูรณ์ประมาณหนึ่ง เราไม่ได้รู้สึกเบื่อหรือขาดอะไร และไม่ได้อยากเปลี่ยนอะไรมาก แต่ถ้ามีมาเราก็โอเคที่จะปรับตัว 

จิ: จิไม่ได้รู้สึกว่าต้องมีเพื่อ complete อะไร เพราะตอนนี้ก็ complete กันอยู่แล้ว แต่ถ้ามี เราก็พร้อม ไม่ติดอะไร และคิดว่าคงได้ประสบการณ์ใหม่ แต่ไม่ถึงกับคิดว่าจะต้องมี แล้วด้วยไลฟ์สไตล์ จิเป็นคนที่นอนดึกมาก ตี 2 ตี 3 แล้วก็ดื่มด้วย คิดว่ามีหลายปัจจัยที่ถ้ามีเราต้องปรับ

ที่คุยกันแน่ๆ คือเราจะให้ทุกอย่างมาตามธรรมชาติ จริงๆ เคยมีแต่หลุด เราก็รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติคัดสรร ถ้าเกิดเขาไม่แข็งแรงก็คือเขาหลุด คือถ้าเขาไม่แข็งแรงแล้วทู่ซี้ดันทุรัง เรารู้สึกว่าถ้าเขามาก็ลำบากเขาอีก 

We Are Kin-Kin” บันทึกของโยและจิที่ว่าด้วยเรื่องการกินและกิน 

จิ: We are Kin-Kin เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเป็นกิจกรรมปกติที่เรา 2 คนจะออกไปหาอะไรกินกัน ซึ่งคล้ายๆ เป็นการบันทึกของเรา 2 คนมากกว่าออกไปกินอะไรกันมาบ้าง ตอนแรกเราก็ยังไม่ได้มีเครื่องมือ อย่างสมาร์ทโฟนหรือกล้องก็ไม่ได้ทันสมัยแบบทุกวันนี้ แต่ทุกอย่างก็เริ่มพัฒนามาพร้อมกัน ทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวคอนเทนต์ ตอนแรกเราคิดว่าคนอาจจะไม่ได้รู้สึกอยากอ่าน อาจจะอยากดูรูปสวยๆ เราก็คิดว่าเขียนเพื่อเป็นบันทึกของเรา อยากจะพูดอะไรเราก็พูดไป ซึ่งเราคิดว่าถ้าคนอ่านสนใจ เขาก็จะอ่านมันเอง แล้วก็เริ่มทำเพจอย่างจริงจังช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ 

โย: เราเป็นคนชอบออกไปกินหลายๆ ร้าน บางทีเราก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ร้านนี้เราออกไปกินแล้วหรือยังนะ หรือกินอะไรแล้วชอบบ้าง ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเมมโมจดไว้ที่ไหนสักแห่ง พอดีช่วงนั้นอินสตาแกรมเข้ามาพอดี ก็เลยคิดว่าใช้แพลตฟอร์มนี้แล้วกัน ถ่ายรูปแล้วเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยเริ่มจากตรงนั้น ซึ่งเหตุผลที่ใช้ชื่อนี้เพราะเราเป็นคนพูด 2 ที 

จิ: ตอนนี้ก็เลยเป็นมุกแบบว่าคนนี้กินหนึ่ง คนนี้กินสอง สำหรับคอนเทนต์ในเพจเราจะเล่าความคิดเห็นว่าตอนที่เราไปกิน เที่ยว หรือมีประสบการณ์จริงๆ ตรงนั้นว่าเรารู้สึกอย่างไร ไม่ได้มีการเรตติ้งใดๆ ทั้งสิ้นเพราะว่าเราก็รู้สึกว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะมานั่งให้คะแนนใคร ซึ่งเอาจริงๆ ประสบการณ์เหล่านี้เราถือว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวเหมือนกันนะ เราว่าเพจของเราค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก แล้วก็จะมีความแบบคนธรรมดามากๆ ออกไปวันหนึ่งก็ไปร้านกาแฟได้เต็มที่ 2 ร้าน ไม่ได้เป็นคนที่ดื่มกาแฟได้มากขนาดนั้น หรืออาหารก็กินได้เท่านี้  

โย: เราจะมีกฎของเรานิดหน่อย เช่นว่า ถ้าไปกินร้านนี้แล้วไม่ชอบ เราอาจจะกลับไปกินอีก แต่ถ้า 3 รอบแล้ว เรายังไม่ชอบ ก็แสดงว่าไม่ใช่ร้านที่เราโอเคด้วย ไม่ใช่กินครั้งแรกแล้วไม่ใช่ แล้วไม่กลับไปกินอีกเลย มันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง 

จิ: ที่แน่ๆ ก็คือเราจะไม่ไปร้านที่เปิดใหม่มากๆ เพราะว่าเรารู้สึกว่าอาจจะไม่แฟร์ทั้งกับเขาและกับเราเพราะว่าบางทีร้านอาจจะไม่ได้พร้อม แต่เขาจะต้องเปิดแล้ว มันคือธุรกิจ ซึ่งถ้าเราแห่ไป เพราะเราอยากได้คอนเทนต์ว่าร้านนี้เปิดใหม่นะ แต่เขาไม่พร้อม ปรากฏว่าประสบการณ์เราไม่ดี เราก็อาจจะตัดสินเขาไปแล้ว หรืออาจจะไม่อยากจะกลับไปอีก ซึ่งถ้ามีคนที่อ่านสิ่งที่เราเขียน ก็ไม่น่าจะแฟร์ เพราะฉะนั้น ถ้ามีร้านเปิดใหม่ เราก็แบบเล็งไว้ก่อนเดี๋ยวรอสักแป๊บแล้วค่อยไป

เมื่อคู่รักทำงานด้วยกัน

โย: ถ้าถาม ณ เวลานี้ ก็อาจจะมีในแง่ที่ว่าอันนี้ฉันชอบ เธอไม่ชอบ 

จิ: ขนาดเรา 2 คน ยังมีความชอบในรสชาติที่ไม่เหมือนกันเลย 

โย: ซึ่งเราจะหาวิธีเขียนที่บาลานซ์ระหว่างสิ่งที่เราคิดและรู้สึกทั้งคู่ จะไม่ได้ชอบมากหรือไม่ชอบมาก อันไหนที่ตรงกันก็จะบอกไปเลยง่ายๆ 

จิ: ช่วงแรกๆ ก็อาจจะต้องจูนกันนิดหนึ่ง เรื่องการทำงาน แบบเธอถ่ายรูปนานจัง รูปนี้จะต้องกี่ช็อต แต่สุดท้ายพอได้เห็นรูปที่เลือกออกมา ก็เข้าใจ ก็คือถ้าดีแล้ว เขาคงหยุดถ่ายแล้ว จนถึงตอนนี้ เราเข้าใจกันมากขึ้น รู้ว่าแต่ละอย่างที่ทำไปเพราะมีเหตุผล

Love is…

โย: ความรักในความรู้สึกของเรา คือการที่เราใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้นแล้วมีความสุข ต่อให้มีเรื่องทะเลาะอะไร แต่ถ้าส่วนใหญ่ในชีวิตมีความสุขแล้ว จะรู้สึกว่าใช่ ชีวิตคนเราไม่มีทางที่จะแฮปปี้ได้ตลอดเวลา มันต้องมีขึ้น มีลง ซึ่งถ้าเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่เรามีความสุข นั่นก็ถือว่าสุขแล้วนะ 

จิ: จิว่าความรักในมุมจิ คือความพอดี ความสบายใจที่ได้อยู่ด้วย ความรู้สึกปลอดภัย แล้วก็อุ่นใจ โอเคเราอาจจะทะเลาะกัน มีเรื่องขลุกขลัก หรือมีความเครียดจากสิ่งรอบตัว แต่ทุกๆ คืนที่ล้มตัวลงนอน แล้วเรารู้สึกว่าดีจังที่เรายังนอนอยู่กับคนนี้ นั่นคือความสุขของจิ ทุกวันนี้ เรายังคาดหวังในตัวเขานะ แต่เราเข้าใจมากขึ้นว่า โอเคคนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ เขาเองก็คงคล้ายๆ กัน อาจมีบ้างที่คิดไม่ตรงกัน ซึ่งถ้ามันเหมือนกัน 100% ก็ไม่น่าสนุก 

เรามีแบบโมเมนต์ดีๆ ทุกวัน บางทีเราเหนื่อย เราเครียด ก็จะขอกอด ซึ่งเขาก็ไม่ได้มานั่งถามว่าเป็นอะไร เล่าสิ บอกฉัน เขาก็แค่แบบนิ่งๆ กอด แป๊บหนึ่ง จบ แล้วก็แยกย้ายกันทำงาน คือไม่ได้ต้องมานั่งอธิบายอะไรกันตลอดเวลา หรือถ้าอยากเล่าก็เล่า อยากระบายก็ระบาย มันมีจุดที่จูนมาถึงกัน ซึ่งส่วนมากเราทำงานด้วยกันอยู่แล้วที่บ้าน ต่างคนก็ต่างทำงาน ไม่ได้คุยกันตลอดเวลา บางทีก็เงียบกันไปชั่วโมงสองชั่วโมงก็มี ถึงเวลาก็กินข้าว แล้วก็ทำงาน อยู่ด้วยกันมันไม่ได้จะต้องจุกจิกๆ กันตลอด แต่ถ้าเราต้องการให้เขาสนใจเรานิดหนึ่ง เราก็แค่บอก เขาก็พร้อมที่จะเทคแคร์

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก 

จิ: เอาจริงๆ เรื่องดีเทลความรักมีทุกวันเลยนะ อย่างเช่นว่าตอนเช้าตื่นมา เราจะตื่นช้ากว่า เขาก็จะบอกว่า “เมื่อเช้าเราตื่นมาลูบหัวเธอด้วย เธอรู้สึกไหม” ซึ่งเราก็แบบ “ไม่รู้สึก นอนอยู่” (หัวเราะ) แต่เขาก็จะทำอะไรแบบนี้ตลอด หรือบางทีเอาน้ำมาให้ดื่มตอนเช้า หรือถ้าเขารู้ว่าตอนนี้เราชอบเพลงนี้ เขาก็จับเอาเพลงนี้ไปใส่ในรถให้ระหว่างที่นั่งรถก็จะได้ฟัง โยจะเป็นคนดูแลของในบ้าน ก๊อกเสีย เปลี่ยนก๊อก เราก็ไม่ต้องกังวลเพราะเขาดูแลหมด 

โย: จิเป็นคนทำอาหาร แต่อาจจะไม่ได้โปรมาก ซึ่งเขาทำอาหารแบบเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมจะรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่เขาทำอาหาร เหมือนแบบพอกินแล้วก็บอกว่าอันนี้หอมจังใส่เหล้าจีนใช่ไหม ก็จะรู้ว่ามันมีดีเทลบางอย่างที่เขาตั้งใจใส่เข้ามามากกว่าปกติเพื่อให้ออกมาดี เพื่อให้เราได้กิน 

เธอคือดาร์กช็อกโกแลต ส่วนเขาคือก๋วยเตี๋ยว

โย: อืม สำหรับผม จิก็เหมือนดาร์คช็อกโกแลต เพราะว่าทั้งขมและหวาน เหมือนเขามีทั้งมุมที่แมนๆ และมุมที่เป็นผู้หญิง บางทีนะ คนเราจะไม่ชอบรสขม แต่ผมจะรู้สึกตลอดเวลาว่ารสขมมันเป็นรสที่เสริมให้ทุกอย่างมันชัดขึ้น แล้วยิ่งพอรู้สึกว่าอายุมากขึ้น จะรู้สึกว่าเอ็นจอยกับรสขมมากขึ้น แล้วดาร์คช็อกโกแลต ถ้ากินเข้าไปคำแรกมันอาจจะขม หลังจากนั้นความหวานจะตามมา คนรักของเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เลยทำให้เรารู้สึกอืม ลงตัว

จิ: โยคือก๋วยเตี๋ยว ถ้านิยามรวมๆ ก็คิดว่าโยเหมือนกับ comfort food เพราะว่าก๋วยเตี๋ยวกินได้ตลอด อยู่กับมันได้เรื่อยๆ อาจจะไม่ต้องสวยหรู แต่กินแล้วรู้สึกสบาย ถูกปาก มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นโอกาสพิเศษถึงได้กิน เป็นความสบายใจ เป็นความพอดี และกลมกล่อม  

ภาพ: มณีนุช บุญเรือง 
ภาพบางส่วน: We Are Kin-Kin
ขอบคุณสถานที่: Chim Chim Bangkok

บทความที่เกี่ยวข้อง