5 กิจกรรมง่ายๆ แก้ ‘จิตตก’ ช่วยบู๊สต์อารมณ์ down แบบไม่เสียตังค์สักบาท

Care / Self Care

เป็นเรื่องธรรมดาที่บางเวลาเราก็อาจจะรู้สึก ‘จิตตก’ กันบ้าง

อาการจิตตกหรือความรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ดาวน์ๆ ไม่ค่อยมีกำลังใจอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไร มีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น อาจมาจากปัญหาการงานที่รุมเร้า ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น ชีวิตที่ยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยภาระจนรู้สึกว่าหาเวลาเป็นของตัวเองได้ยากเต็มที หรือบางทีอาการดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นจากการเสพข่าวสารบ้านเมืองทางสื่อต่างๆ หรือแม้แต่เวลาดูกีฬาแล้วคนที่เราเอาใจช่วยเต็มที่เกิดแพ้ขึ้นมา เราก็รู้สึกดาวน์กันได้เหมือนกัน

แน่นอน วิธีแก้อาการจิตตกดังกล่าวย่อมต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา หรือสำหรับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เราก็แค่ต้องยอมรับความจริงให้ได้ แต่… เราเข้าใจค่ะว่าหลายครั้ง ก่อนที่คุณจะรวบรวมพละกำลังลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาที่ค้างคาอยู่ คุณก็อยากจะขอเวลานอกสักพักเพื่อฟื้นฟูจิตใจกันก่อน เราก็เลยมีวิธีแก้จิตตก 5 ข้อ มาฝากกัน เผื่อว่าคุณจะใช้วิธีเหล่านี้เรียกแรงฮึดกลับคืนมา ก่อนกลับไปสู้กับชีวิตกันต่อไป 

ยังจำกันได้ไหมคะ ตอนที่เราเอาเรื่อง การอาบป่า (Forest bathing) มาแนะนำกัน เราเคยบอกไว้ว่า การอาบป่า หรือ การพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้น ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของเราได้อีกด้วย

ที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปถึงป่าเขาไกลๆ แต่แค่ปลีกตัวออกจากงานตรงหน้า ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ๆ แค่เพียงสัก 10 นาที คุณก็จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว เพราะเมื่อคุณเริ่มก้าวขาทั้งสองข้างไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แกว่งแขนทั้งสองข้างไปมา การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย โดยเฉพาะการไหลเวียนเลือดไปยังสมองและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ยิ่งถ้าได้เดินอยู่ท่ามกลางสีเขียวของธรรมชาติ ได้ฟังเสียงลม เสียงนก สัมผัสสายลมและแดดจางๆ คุณก็จะยิ่งผ่อนคลายได้มากกว่าเดิม

นอกจากนั้น การเดินก็ยังเป็นการออกกำลังกายอีกทางหนึ่งที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความสุข หรือ เอ็นโดรฟิน (Endorphin) ขึ้น ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้ก็จะไปจัดการกับความเครียดที่อยู่ในจิตใจของเรา ช่วยให้เราหลุดพ้นจากอารมณ์ขุ่นมัวได้ดี

คำพูดเก่าแก่ว่า “หัวเราะคือยาวิเศษ” ไม่เกินจริงเลยสักนิดเดียว เพราะนอกจากการหัวเราะจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งเอ็นโดรฟินเช่นเดียวกับการเดินและออกกำลังกายแล้ว การหัวเราะหนึ่งนาที ยังเท่ากับได้พักผ่อนนานถึง 45 นาที หรือหัวเราะแค่ 10 วินาที เท่ากับออกกำลังกายแบบกรรเชียงได้ถึง 3 นาที!

สาเหตุที่การหัวเราะให้ผลใกล้เคียงกับการออกกำลังกายนั้นเพราะเมื่อเราหัวเราะ หัวใจและชีพจรของเราจะเต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นเมื่อหยุดหัวเราะ ร่างกายจะค่อยๆ คืนสู่สภาวะปกติ เราจึงรู้สึกผ่อนคลาย

ทีนี้ลองมาดูวิธีที่จะทำให้คุณหัวเราะท้องคัดท้องแข็งกันดีกว่าค่ะ วิธีแรกที่เราแนะนำ คือ ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนสนิท เพราะเมื่อไรก็ตามที่เพื่อนๆ มารวมตัวกัน ย่อมมีเรื่องให้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้ววงสนทนาก็ปกคลุมไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง แต่หากคุณยังไม่มีเวลาไปเจอเพื่อนๆ แบบตัวต่อตัว ลองโทรฯ คุยกับพวกเขาหรือส่งข้อความหากัน หรืออีกวิธีง่ายๆ เรียกเสียงหัวเราะก็คือ หาหนังตลกๆ ดูสักเรื่อง ไม่ก็เปิดโซเชียลมีเดียดูคลิปตลกแบบน่ารักๆ ของพวกหมาแมวและสัตว์ไร้เดียงสาต่างๆ รับรองว่าเรียกทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้ไม่ยากเลย

นักบำบัดด้านครอบครัว Virginia Satir เคยกล่าวไว้ว่า “เราต้องการการกอด 1 ครั้งต่อวันเพื่อให้การอยู่รอด กอด 8 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมฟื้นฟู และกอด 12 ครั้ง เพื่อการเติบโต”

ทำไมการกอดถึงสำคัญขนาดนั้น? ก็เพราะว่าการกอดเป็นหนึ่งในสัมผัสทางกายที่ทำให้ต่อมใต้สมองของเราหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือที่เรียกกันว่าฮอร์โมนแห่งความรัก สำหรับคุณแม่ ออกซิโตซินจะหลั่งออกมาตอนที่คลอดลูก ทำให้มีแรงเบ่ง กระตุ้นน้ำนม และสร้างความผูกพันกับลูก ส่วนสำหรับคนทั่วไป ออกซิโตซินก็ทำงานในลักษณะที่คล้ายกัน คือจะหลั่งออกมาเวลาเกิดการสัมผัส เช่น การกอด ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับคนรัก ครอบครัว รู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจกัน และรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย

ด้วยเหตุนี้เอง การกอดจึงเป็นสัมผัสที่ช่วยบู๊สต์อารมณ์ดาวน์ๆ ได้เป็นอย่างดี แถมอ้อมกอดของคนที่เรารักก็ยังเป็นการบ่งบอกว่า ในเวลาที่คุณมีปัญหารุมเร้า คุณก็ยังมีคนอีกคนหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ แต่… ไม่ต้องกังวลไปว่าเวลาจิตตก คุณจะต้องออกไปหาคนกอดทุกครั้งนะคะ เพราะข่าวดีก็คือ ถ้าคุณอยู่คนเดียว คุณก็สามารถ ‘กอดตัวเอง’ ได้เหมือนกัน

ใช่ค่ะ เราไม่ได้พูดเล่น คุณกอดตัวเองได้จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยด้วย โดยวิธีการกอดตัวเองนั้นก็เหมือนเวลาคุณกอดคนอื่นนั่นแหละ หรือเอาง่ายๆ ก็คือการทำโยคะท่ากอด แต่เคล็ดลับคือ ให้คุณลองจินตนาการว่าการกอดแบบไหนที่คุณอยากได้ เช่น กอดเบาๆ แบบนุ่มนวล หรือกอดแน่นๆ แบบอบอุ่น แล้วก็เลือกลงน้ำหนักการกอดตัวเองที่คุณชอบ จากนั้นกอดตัวเองไว้ให้นานที่สุดเท่าที่คุณต้องการ หรือบางคนอาจใช้การโยกตัวไปมาด้วยก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่คุณเลยค่ะ 

ตอนเด็กๆ ใครเคยติดหมอนเน่า น้องตุ๊กตาเน่า อะไรพวกนี้กันบ้างคะ? ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมี (หรืออาจยังมีอยู่) ความผูกพันกับสิ่งของเหล่านี้ คุณก็อาจจะพอจำได้ว่า หนึ่งในสาเหตุที่คุณไม่สามารถทิ้งเจ้าน้องเน่าได้ เพราะ ‘กลิ่น’ ของน้องเน่าเหล่านั้นทำให้คุณรู้สึกดี รู้สึกถึงความสงบ หรือผูกพันกับความทรงจำบางอย่าง

ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ‘กลิ่น’ จะสื่อสารกับสมองในส่วนที่เรียกว่า อะมิกดะลา (Amygdala) โดยตรง โดยอะมิกดะลาจะทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ต่างๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กลิ่นบางอย่างไปกระตุ้นให้คุณเกิดความรู้สึกในด้านบวกหรือหวนนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีต รวมทั้งกลิ่นหอมบางอย่างก็ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขขึ้นด้วย

ตามปกติของการบำบัดด้วยกลิ่น นักบำบัดมักใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้าคุณไม่มีน้ำมันหอมระเหยติดบ้านไว้เลย (และแน่นอนว่าไม่อยากเสียสตางค์) เราแนะนำว่าลองปลีกวิเวกไปใช้เวลาเป็นส่วนตัวในห้องน้ำ อาบน้ำด้วยสบู่ที่มีกลิ่นที่คุณชื่นชอบ รับประกันว่าทั้งน้ำเย็นๆ (หรือน้ำอุ่นก็ได้ แล้วแต่ความชอบ) และกลิ่นหอมสดชื่นที่คุณโปรดปรานจะบู๊สต์อารมณ์ดาวน์ๆ ได้ดีนักเชียว หรือถ้าสาเหตุที่คุณรู้สึกจิตตกเป็นเพราะคิดถึงใครบางคนที่อยู่ห่างไกล ลองหากลิ่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวระหว่างคุณสองคนดู เช่น กลิ่นดอกไม้ที่ปลูกที่บ้าน กลิ่นผลไม้ที่คนๆ นั้นชอบ เป็นต้น 

นอกจากนั้น กลิ่นที่ผ่อนคลายคุณได้ง่ายๆ มีอยู่มากมายในครัว ไม่ว่าจะเป็น มะนาว อบเชย ชาเปบเปอร์มินต์ ชาคาโมมายล์ ฯลฯ หรือถ้าใครมีเลมอน (มะนาวลูกสีเหลือง) ติดอยู่ในครัว ลองฝานเลมอนซีกหนึ่งแล้วใส่ในน้ำดื่มเย็นๆ ดู บอกเลยว่าวิธีง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณผ่อนคลายได้แล้ว

หากคุณกำลังตกอยู่ในความทุกข์ อย่าลืมว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปทำให้คนอื่นทุกข์ไปกับคุณด้วย

ในทางตรงกันข้าม เวลาที่คุณกำลังจนมุมกับปัญหาอย่างหาทางแก้ไม่ได้ แทนที่คุณจะมัวหมกหมุ่นกับปัญหานั้น ลองหันไปโฟกัสกับสิ่งอื่นดูก่อน เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น หรือ ทำให้คนอื่นๆ ยิ้มได้

วิธีนี้อาจจะอธิบายได้ยากสักหน่อยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่การช่วยเหลือคนอื่นจะทำให้คุณหายจิตตก เพราะไม่มีสถิติหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อันใดมาช่วยอ้างอิงเหมือนกับเรื่องเอ็นโดรฟินหรืออะมิกดะลา แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เมื่อไรก็ตามที่เราได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่กำลังมีปัญหา แล้วเราสามารถทำให้เขามีรอยยิ้มและมีความสุขขึ้นได้ เราจะพลอยรู้สึกมีความสุขไปกับเขาด้วย ที่สำคัญ ความสุขจากการให้อาจยั่งยืนกว่าความสุขที่เกิดจากการทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเราเองอีกด้วย เพราะ ‘การให้’ ทำให้ชีวิตเรา ‘มีความหมาย’ 

สำหรับการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หยุดรถให้คนข้ามถนน (บนถนนที่พลุกพล่าน หลายครั้งคนเดินเท้าต้องยืนรออยู่นาน โดยไม่มีรถคันไหนหยุดให้เลย) เอาน้ำเย็นๆ ให้บุรุษไปรษณีย์หรือไรเดอร์ที่มาส่งของที่บ้านได้ดื่มในวันที่อากาศร้อนจัด หรือติดอาหารหมา อาหารแมว ไว้ในรถ เพื่อที่ว่าเวลาเจอหมาแมวตามท้องถนน จะได้แบ่งปันอาหารให้พวกเขาได้คลายหิวลงบ้าง 

ที่สำคัญ เราอยากบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องจิตตก ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสเมื่อไร อย่าลืมแสดงน้ำใจแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก เพราะถ้าคุณช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำ บางที คุณอาจมีความสุขยิ้มกริ่มอยู่ตลอดเวลา โดยแทบไม่ต้องรู้สึกจิตตกเลยก็ได้ค่ะ

แปลและเรียบเรียงจาก healthline.com

ข้อมูลเพิ่มเติม:
healthline.com/hugging
thaihealth.or.th 

บทความที่เกี่ยวข้อง