Mindfulness in Crisis: สติบำบัดกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

Care / Family Care

ในช่วงเวลาที่ชีวิตใกล้จะหมดลง ความหวังดูเหมือนจะจางหายไปทีละน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ได้เสมอ—นั่นคือความสงบภายใน ซึ่งสติบำบัดกำลังพิสูจน์ว่าเป็นมากกว่าเทคนิคการผ่อนคลาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตในวันสุดท้ายอย่างแท้จริง

ช่วงบ่ายวันหนึ่งที่หอผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้หญิงวัย 58 ปีที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายนั่งอยู่บนเตียงพยาบาล ดวงตาของเธอสะท้อนความกลัวและความสับสนที่คุ้นเคยสำหรับทีมแพทย์ เธอเป็นหนึ่งใน 20 ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโปรแกรม Mindfulness-Based Stress Reduction (MBSR) ที่โรงพยาบาล Carpi General Hospital ในอิตาลี ระหว่างปี 2017

การศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Complementary Therapies in Medicine พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะแพร่กระจายที่เข้าร่วมโปรแกรม MBSR เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถจัดการกับความเจ็บปวดและความวิตกกังวลได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ป่วยได้รับการฝึกนั่งสมาธิ การสแกนร่างกาย โยคะเบาๆ และการเดินจงกรม พร้อมการฝึกที่บ้านวันละ 30 นาที

“การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้ แต่หมายถึงการเลือกที่จะอยู่กับความเป็นจริงอย่างสงบ” หนึ่งในผู้เข้าร่วมกล่าวในการสัมภาษณ์เชิงลึก นี่คือหัวใจสำคัญของการใช้สติบำบัดในการดูแลระยะสุดท้าย—ไม่ใช่การหนีความเจ็บปวด แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

งานวิจัยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่จับต้องได้ของสติบำบัดต่อผู้ป่วยมะเร็ง การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Nursing พบว่าสติบำบัดช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และอาการซึมเศร้าในผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและลดความรุนแรงของอาการปวด

ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก UCLA Health ระบุว่าการฝึกสติบำบัดเพียง 5 นาที 3 ครั้งต่อวัน สามารถลดความเครียดที่รับรู้ได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยมะเร็ง การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2021 ใน Journal of Clinical Oncology พบว่าการฝึกสมาธิแบบมีสติเป็นเวลา 6 สัปดาห์ช่วยลดอาการซึมเศร้าในผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านม

การทำงานของสติบำบัดในสมองนั้นน่าสนใจ การศึกษาด้าน neuroimaging แสดงให้เห็นว่าการฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ ความตระหนักรู้ตนเอง และการรับรู้ความเจ็บปวด นอกจากนี้ยังพบว่าสติบำบัดช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด

สิ่งที่พิเศษของสติบำบัดในบริบทของการดูแลระยะสุดท้ายคือมิติทางจิตวิญญาณ ผู้ป่วยหลายคนรายงานว่าโปรแกรม MBSR ช่วยให้พวกเขากลับมาเชื่อมต่อกับความเชื่อทางจิตวิญญาณและค่านิยมที่สำคัญในชีวิตของพวกเขา

ผู้ชายวัย 65 ปีที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้ายที่เข้าร่วมโปรแกรม กล่าวว่า “ฉันเริ่มตั้งคำถามว่าอะไรจริงๆ แล้วมีความหมายในชีวิต ไม่ใช่ในแง่ปรัชญา แต่ในแง่ที่ฉันรู้สึกได้จริงๆ ในทุกลมหายใจ ทุกช่วงเวลา” การพูดคุยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในบรรดาผู้ป่วยที่ฝึกสติบำบัด

การศึกษาจาก BMC Palliative Care ระบุว่าสติบำบัดช่วยให้ผู้ป่วยสำรวจและยอมรับความทุกข์ทางจิตวิญญาณที่มักมากับโรคร้ายแรง การปฏิบัติสติช่วยสร้างพื้นที่ว่างภายในที่ผู้ป่วยสามารถประมวลความหมายของชีวิต ความตาย และมรดกที่พวกเขาจะทิ้งไว้

ย้อนกลับไปที่โรงพยาบาล Carpi ในการประชุมกลุ่มครั้งที่ 4 ผู้หญิงที่กล่าวถึงตอนต้นนั่งอยู่ในท่านั่งสมาดิ ดวงตาของเธอปิดลงเบาๆ การแสดงออกบนใบหน้าที่เคยตึงเครียดเริ่มผ่อนคลาย เมื่อเปิดตา เธอพูดเบาๆ ว่า “ฉันยังคงเจ็บปวด แต่ฉันไม่ได้กลัวมันขนาดนั้นแล้ว มันอยู่ตรงนั้น และฉันอยู่ตรงนี้ และเราทั้งคู่โอเค”

นี่คือสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “การยกเลิกการเชื่อมโยงระหว่างอาการกับความทุกข์” (decoupling of symptom and suffering) การศึกษาพบว่าแม้ว่าระดับความเจ็บปวดทางกายภาพอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้เข้าร่วมอีกรายหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงวัย 62 ปีที่เป็นมะเร็งปอด อธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันใช้เวลาทั้งหมดในการกังวลเกี่ยวกับอนาคต—จะเจ็บปวดมากแค่ไหน จะเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน ตอนนี้ ฉันสามารถกลับมาหาปัจจุบันได้ และฉันพบว่าในช่วงเวลานี้ ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันยังสามารถรู้สึกอบอุ่นของแสงแดด รสชาติของชา เสียงหัวเราะของลูกๆ”

สิ่งที่น่าสนใจคือสติบำบัดไม่ได้ช่วยเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน BMC Palliative Care พบว่าทีมผู้ดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพที่เข้าร่วมโปรแกรมสติบำบัดและความเมตตา 10 สัปดาห์ ณ สถานที่ทำงาน มีความเครียดลดลง มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ดีขึ้น และมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

พยาบาลท่านหนึ่งที่เข้าร่วมโปรแกรมกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกว่ากำลังถูกสึกกร่อนทีละน้อย การเห็นความเจ็บปวดและการสูญเสียทุกวันทำให้ฉันเริ่มปิดกั้นตัวเอง แต่การฝึกสติช่วยให้ฉันสามารถอยู่กับผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง—ไม่ใช่แค่เป็นพยาบาล แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่กับอีกมนุษย์คนหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต”

การศึกษาจาก Palliative Care Research ในปี 2023 พบว่าโปรแกรมสติบำบัดสำหรับผู้ให้บริการดูแลระยะสุดท้ายช่วยลดอาการหมดไฟ (burnout) เพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ และเพิ่มความพึงพอใจในงาน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการดูแลที่ผู้ป่วยได้รับโดยตรง

ดร. Celina Carter จากมหาวิทยาลัย Toronto ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนาหลักสูตร Certificate in Mindfulness Informed End-of-Life Care แนะนำว่าการฝึกสติบำบัดสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรได้รับการปรับให้เหมาะสม ไม่ใช่ทุกเทคนิคที่เหมาะกับทุกคน

1. การหายใจแบบมีสติ 5 นาที เริ่มต้นด้วยการสังเกตลมหายใจโดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงมัน สังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าท้องขณะหายใจเข้าออก ถ้าใจฟุ้งซ่าน ค่อยๆ นำความสนใจกลับมาที่ลมหายใจอย่างอ่อนโยน

2. การสแกนร่างกาย (Body Scan) นอนในท่าสบายๆ นำความตระหนักรู้ไปยังแต่ละส่วนของร่างกาย เริ่มจากเท้าและค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปจนถึงศีรษะ สังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่ตัดสิน

3. เทคนิค “ใบไม้บนลำธาร” (Leaves on a Stream) จินตนาการว่าความคิดและความรู้สึกเป็นใบไม้ที่ลอยไปตามลำธาร ให้พวกมันไหลผ่านไปโดยไม่พยายามยึดติดหรือผลักไส

4. การเดินจงกรมแบบช้า สำหรับผู้ป่วยที่ยังเคลื่อนไหวได้ การเดินอย่างช้าๆ โดยมีสติกับทุกย่างก้าวสามารถช่วยเชื่อมต่อกับร่างกายและปัจจุบันได้

การนำสติบำบัดมาใช้ในการดูแลระยะสุดท้ายไม่ได้ปราศจากความท้าทาย การศึกษาระบุอุปสรรคหลายประการ:

ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า: ผู้ป่วยบางรายมีอาการมากเกินกว่าจะนั่งสมาธิได้ นาน วิธีแก้คือการปรับเทคนิคให้สั้นลง (5-10 นาที) และอนุญาตให้ปฏิบัติในท่าใดก็ได้ที่สบาย

ความคาดหวังที่ไม่สมจริง: ผู้ป่วยบางรายคาดหวังว่าสติบำบัดจะ “รักษา” โรคหรือขจัดความเจ็บปวดได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญคือการสื่อสารอย่างชัดเจนว่าสติบำบัดช่วยในการจัดการกับความเจ็บปวด ไม่ใช่กำจัดมัน

ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลรุนแรง: ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวชรุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาด้วยยาควบคู่ไปก่อน จึงจะได้ประโยชน์จากสติบำบัด

อุปสรรคทางวัฒนธรรม: ในบางวัฒนธรรม การนั่งนิ่งและปิดตาอาจไม่เหมาะสม การปรับเทคนิคให้สอดคล้องกับความเชื่อและค่านิยมของผู้ป่วยเป็นสิ่งจำเป็น

เทคโนโลยีกำลังเปิดโอกาสใหม่สำหรับการเข้าถึงสติบำบัด แอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนอย่าง Mindfulness Coach และ Calm ได้รับการทดสอบในผู้ป่วยมะเร็งและแสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2025 ใน JMIR Cancer พบว่าการแทรกแซงสติบำบัดผ่านอินเทอร์เน็ตมีประสิทธิผลในการปรับปรุงอาการทางกายและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลหรือเคลื่อนไหวลำบาก

การวิจัยปัจจุบันกำลังสำรวจการผสมผสานสติบำบัดกับการบำบัดอื่นๆ เช่น การบำบัดด้วยดนตรี ศิลปะบำบัด และการบำบัดด้วยความเมตตา (compassion-focused therapy) ผลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าแนวทางแบบบูรณาการนี้อาจให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

มหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพเพื่อนำสติบำบัดมาใช้ในการดูแลระยะสุดท้าย ในประเทศไทย สถาบันบางแห่งเริ่มมีความสนใจและกำลังพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะสมกับบริบททางวัฒนธรรม

สติบำบัดในการดูแลระยะสุดท้ายไม่ใช่เรื่องของการหนีความเจ็บปวดหรือปฏิเสธความตาย แต่เป็นการสอนให้เราอยู่กับความเป็นจริงอย่างสงบและมีเมตตากรุณา มันเป็นการเตือนใจว่าแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เรายังคงมีทางเลือกในการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ผู้หญิงจากโรงพยาบาล Carpi ที่เราพูดถึงตอนต้น สิ้นใจอย่างสงบหลังจากเข้าร่วมโปรแกรม 6 สัปดาห์ ครอบครัวของเธอกล่าวว่าในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เธอดูสงบกว่าที่เคยเป็นมาตลอดชีวิต “เธอบอกว่าเธอยังกลัวอยู่” ลูกสาวของเธอบอก “แต่เธอบอกว่าเธอไม่ได้ต่อสู้กับมันอีกต่อไป และในการไม่ต่อสู้ เธอพบสันติภาพ”

นั่นคือของขวัญที่สติบำบัดมอบให้—ไม่ใช่การหลีกหนีจากความเป็นจริง แต่เป็นความสามารถในการอยู่กับมันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและจิตใจที่สงบ ในวิกฤตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต สิ่งนี้อาจเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่เราสามารถให้ได้


แหล่งอ้างอิง:

  1. Poletti, S., et al. (2019). Mindfulness-Based stress reduction in early palliative care for people with metastatic cancer: A mixed-method study. Complementary Therapies in Medicine, 47, 102218.
  2. Orellana-Rios, C. L., et al. (2017). Mindfulness and compassion-oriented practices at work reduce distress and enhance self-care of palliative care teams. BMC Palliative Care, 16(1), 22.
  3. Mills, J. (2024). Mindfulness in palliative care practice: A narrative review. International Journal of Palliative Nursing, 30(1), 17-19.
  4. Carter, C., & Chaban, M. (2023). Mindfulness in End-of-Life Care: Self-Care Practices for Caregivers. Mindful Society Global Institute.
  5. Johns, S. A., et al. (2020). Mindfulness Training Supports Quality of Life and Advance Care Planning in Adults With Metastatic Cancer. American Journal of Hospice and Palliative Care, 37(2), 88-99.
  6. Světlák, M. (2020). Mindfulness in Palliative Care – the Healing Effect of the Present Moment. Klinicka Onkologie, 33(Suppl 2), 138-140.
  7. Lange, S. (2023). From diagnosis through survivorship: Mindfulness can help people cope with cancer. UCLA Health.
  8. Beng, T. S., et al. (2016). Distress Reduction for Palliative Care Patients and Families With 5-Minute Mindful Breathing. American Journal of Hospice and Palliative Care, 33(6), 555-60.

บทความที่เกี่ยวข้อง