บริจาคเสียงให้ผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียง
เสียงพูดเป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ทำให้เราสามารถแสดงความคิด ความรู้สึก และตัวตนได้ แต่สำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียงจากโรคมะเร็งกล่องเสียง อุบัติเหตุ หรือภาวะทางการแพทย์อื่นๆ การสูญเสียเสียงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจอย่างมาก
ในอดีต ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยพูดแบบดั้งเดิมที่ให้เสียงเป็นเชิงกล ไม่เป็นธรรมชาติ และไม่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้ แต่ปัจจุบัน นวัตกรรม “Voice Donation” หรือการบริจาคเสียงกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาสร้างเสียงสังเคราะห์ที่เหมือนเสียงจริงของมนุษย์ ซึ่งผู้ป่วยสามารถใช้ในการสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
กรณีศึกษา: นาย ก. กับการฟื้นคืนเสียงพูดหลังการผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียง
นาย ก. อายุ 58 ปี ผู้ประกอบอาชีพครูสอนภาษาไทยมากว่า 30 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียงระยะที่ 3 ในปี พ.ศ. 2564 แพทย์แจ้งว่าจำเป็นต้องผ่าตัดกล่องเสียงออกทั้งหมด (Total Laryngectomy) เพื่อรักษาชีวิต
“เมื่อหมอบอกว่าผมต้องสูญเสียเสียงไปตลอดชีวิต ความรู้สึกแรกคือท้อแท้มาก” นาย ก. เล่าผ่านระบบสังเคราะห์เสียงของเขา “ชีวิตผมผูกติดกับการพูด การสอน การเล่าเรื่อง จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรโดยไม่มีเสียง”
ก่อนการผ่าตัด ทีมแพทย์ได้แนะนำให้นาย ก. เข้าร่วมโครงการ “Voice Banking” ของศูนย์เทคโนโลยีฟื้นฟูการพูด โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบันทึกเสียงของตนเองไว้ก่อนที่จะสูญเสียความสามารถในการพูด เพื่อนำมาสร้างเป็นเสียงสังเคราะห์ในอนาคต
“ผมได้เข้าห้องอัดเสียงและอ่านประโยคต่างๆ กว่า 1,000 ประโยค ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง” นาย ก. เล่า “ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะได้ผลจริงหรือไม่ แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย”
หลังการผ่าตัดและการรักษาด้วยรังสี นาย ก. ต้องเรียนรู้การสื่อสารแบบใหม่ เขาเริ่มต้นด้วยการเขียนบนกระดาษ การใช้แอปพลิเคชันแปลงข้อความเป็นเสียงทั่วไป และการเรียนรู้การพูดด้วยหลอดอาหาร (Esophageal Speech) ซึ่งทุกวิธีล้วนมีข้อจำกัดและไม่สามารถทดแทนเสียงที่เป็นธรรมชาติของเขาได้
สองเดือนหลังการผ่าตัด ทีมนักวิจัยได้นำเสียงที่บันทึกไว้ของนาย ก. มาประมวลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ และสร้างเป็น “Digital Voice” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา เมื่อนาย ก. ได้ทดลองใช้ครั้งแรกผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เขากดพิมพ์ข้อความและได้ยินเสียงของตัวเองดังออกมา
“ผมร้องไห้เลยครับ” นาย ก. เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มันเหมือนได้ส่วนหนึ่งของตัวตนกลับคืนมา แม้จะไม่เหมือน 100% แต่ก็ใกล้เคียงมาก ทั้งโทนเสียง จังหวะการพูด และสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของผม”
ปัจจุบัน นาย ก. กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เขาสามารถสื่อสารกับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และนักเรียนได้ แม้จะไม่ได้กลับไปสอนในห้องเรียนเหมือนเดิม แต่เขาได้เริ่มทำคอนเทนต์สอนภาษาไทยออนไลน์ โดยใช้เสียงสังเคราะห์ของตัวเอง
“เทคโนโลยีนี้เปลี่ยนชีวิตผมจริงๆ จากที่คิดว่าชีวิตจะจบลง กลับพบว่ามันเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
กรณีศึกษา: นางสาว ข. กับ “Voice Donor” ผู้มอบเสียงให้ผู้อื่น
ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายโชคดีที่ได้บันทึกเสียงของตนเองไว้ล่วงหน้า แต่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีโอกาสนั้น ไม่ว่าจะเพราะอุบัติเหตุฉุกเฉิน หรือการวินิจฉัยโรคในระยะที่ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ทัน นี่คือที่มาของโครงการ “Voice Donors” ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปบริจาคเสียงเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้
นางสาว ข. อายุ 26 ปี นักศึกษาปริญญาโทด้านภาษาศาสตร์ เป็นหนึ่งในอาสาสมัคร “Voice Donor” คนแรกๆ ของประเทศไทย
“ดิฉันได้อ่านบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีการบริจาคเสียงจากต่างประเทศ และรู้สึกสนใจมาก” นางสาว ข. เล่า “พอทราบว่าในไทยเริ่มมีโครงการนี้ ก็ตัดสินใจสมัครทันที เพราะรู้สึกว่าเป็นการบริจาคที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ให้เวลาสักนิดก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้”
นางสาว ข. ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง กระจายเป็น 4 วัน ในการบันทึกเสียงอ่านประโยคมาตรฐานกว่า 2,000 ประโยคที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมเสียงและการออกเสียงในภาษาไทยทั้งหมด ข้อมูลเสียงเหล่านี้ถูกนำไปประมวลผลและสร้างเป็น “Voice Model” ที่สามารถนำไปปรับใช้กับผู้ป่วยที่มีลักษณะเสียงใกล้เคียงกับเธอ
“สิ่งที่น่าสนใจมากคือ ระบบไม่ได้ใช้เสียงของดิฉันโดยตรง แต่จะนำลักษณะเฉพาะบางอย่างของเสียงไปผสมผสานกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อสร้างเสียงที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลให้กับผู้ป่วยแต่ละคน” นางสาว ข. อธิบาย
6 เดือนหลังจากการบริจาคเสียง นางสาว ข. ได้รับการติดต่อจากโครงการฯ ว่าเสียงของเธอได้ถูกนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยหญิงอายุ 42 ปี ที่สูญเสียเสียงจากอุบัติเหตุทางจราจร
“เขาส่งคลิปวิดีโอมาให้ดู เป็นภาพผู้ป่วยกำลังใช้แอปพลิเคชันที่มีเสียงที่พัฒนาจากเสียงของดิฉัน คุยกับลูกสาวของเธอ” นางสาว ข. เล่าด้วยน้ำตาคลอ “มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ที่รู้ว่าส่วนหนึ่งของเราช่วยให้คนๆ หนึ่งกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
ปัจจุบัน โครงการ “Voice Donors” ในประเทศไทยมีอาสาสมัครบริจาคเสียงแล้วกว่า 200 คน แต่ยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีสำเนียงท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับผู้ป่วยได้หลากหลายมากขึ้น
เทคโนโลยีเบื้องหลัง Voice Donation
การสร้างเสียงสังเคราะห์ที่เหมือนมนุษย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะ Deep Learning ทำให้คุณภาพของเสียงสังเคราะห์พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ดร. สมชาย (นามสมมติ) หัวหน้าทีมวิจัยด้านเทคโนโลยีเสียงสังเคราะห์ อธิบายว่า “กระบวนการเริ่มจากการเก็บตัวอย่างเสียงที่หลากหลายจากผู้บริจาคหรือผู้ป่วยเอง จากนั้นระบบ AI จะวิเคราะห์และเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของเสียงนั้นๆ ทั้งโทนเสียง จังหวะการพูด การเน้นคำ และลักษณะพิเศษอื่นๆ”
“หากเป็นกรณีที่ผู้ป่วยบันทึกเสียงของตัวเองไว้ล่วงหน้า เราจะสามารถสร้างโมเดลเสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงเดิมของพวกเขาได้มาก แต่หากเป็นการใช้เสียงจากผู้บริจาค เราจะผสมผสานลักษณะเสียงของผู้บริจาคกับข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย เช่น อายุ เพศ ส่วนสูง น้ำหนัก และภูมิภาคที่เติบโตมา เพื่อสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับผู้ป่วยรายนั้นๆ”
ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้สามารถสร้างเสียงที่เป็นธรรมชาติได้มาก และยังสามารถแสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น ความดีใจ ความเศร้า หรือความตื่นเต้นได้ด้วย นอกจากนี้ ระบบยังสามารถพัฒนาและปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่องตามข้อมูลใหม่ที่ได้รับ
ความท้าทายและอนาคตของการบริจาคเสียง
แม้ว่าเทคโนโลยี Voice Donation จะสร้างประโยชน์มหาศาล แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ ทั้งในแง่เทคนิคและจริยธรรม
ในแง่เทคนิค การสร้างเสียงสังเคราะห์ที่สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างหลากหลายและเป็นธรรมชาติยังคงเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์อย่างภาษาไทย นอกจากนี้ การพัฒนาระบบที่สามารถทำงานได้บนอุปกรณ์พกพาโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญ
ส่วนในแง่จริยธรรม คำถามเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของเสียง การให้ความยินยอม และการนำเสียงไปใช้ในอนาคตเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“เราต้องมั่นใจว่าเสียงที่บริจาคจะถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และมีระบบป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงเสียงเพื่อหลอกลวงหรือฉ้อโกง” ดร. สมชายกล่าว
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย โดยปัจจุบัน หน่วยงานที่พัฒนาระบบนี้ในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีค่าใช้จ่ายต่ำ
ในอนาคต ทีมวิจัยคาดหวังว่าจะสามารถพัฒนาระบบที่เรียนรู้และปรับตัวได้ตามการใช้งานของผู้ป่วย เช่น การปรับโทนเสียงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ โดยอัตโนมัติ และการพัฒนาระบบที่รองรับภาษาท้องถิ่นและสำเนียงต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
ก้าวต่อไปสู่การส่งเสริมการบริจาคเสียงในสังคมไทย
การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการบริจาคเสียงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขยายผลโครงการนี้ในประเทศไทย
“เราอยากให้การบริจาคเสียงเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการบริจาคเลือดหรือการบริจาคอวัยวะ” คุณวิภา (นามสมมติ) ผู้ประสานงานโครงการ Voice Donors กล่าว “ทุกคนมีศักยภาพที่จะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเสียงของตัวเอง โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย”
โครงการฯ ได้เริ่มขยายความร่วมมือไปยังสถาบันการศึกษา องค์กรธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์และเปิดรับอาสาสมัครบริจาคเสียง นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการบริจาคเสียงที่สามารถทำได้ง่ายจากที่บ้าน เพื่อลดอุปสรรคด้านเวลาและการเดินทาง
“เราเชื่อว่า เมื่อคนไทยเข้าใจถึงพลังของการบริจาคเสียง และเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง จะมีผู้ที่อยากมีส่วนร่วมในการมอบพลังเสียงคืนชีวิตให้กับผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ” คุณวิภากล่าวทิ้งท้าย
บทสรุป
Voice Donation หรือการบริจาคเสียง เป็นนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการพูด ให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากกรณีศึกษาของนาย ก. และนางสาว ข. เราได้เห็นถึงพลังของเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
แม้จะยังมีความท้าทายอีกมากมาย แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริจาค และผู้ป่วยเอง การบริจาคเสียงมีศักยภาพที่จะกลายเป็นหนึ่งในการบริจาคที่มีความหมายและสร้างผลกระทบอย่างยิ่งในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
- สมาคมโสต ศอ นาสิกแห่งประเทศไทย. (2566). แนวทางการดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดกล่องเสียง. วารสารโสต ศอ นาสิกวิทยา, 45(2), 68-77.
- ศูนย์มะเร็งแห่งชาติ. (2565). สถิติผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงในประเทศไทย ปี 2560-2564. กรุงเทพฯ: กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
- Creak, M., & Johnson, L. (2023). Voice Banking and Voice Reconstruction: Current Technologies and Future Directions. Journal of Speech, Language, and Hearing Research, 66(4), 1389-1402.
- Yamagishi, J., Veaux, C., & MacDonald, K. (2020). Voice banking and voice reconstruction technology for individuals with speech disorders. In Clinical Management of Communication Disorders (pp. 219-236). Springer.
- Zhang, Q., & Yang, T. (2022). Advances in AI-based voice synthesis for medical applications. Nature Communications, 13(1), 4217.
- Park, S., Kim, J., & Lee, H. (2021). Ethical considerations in voice donation: A systematic review. Journal of Medical Ethics, 47(5), 312-319.
- บัณฑิต วรรณประพันธ์ และคณะ. (2565). การพัฒนาระบบสังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทยเพื่อผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียง. วารสารวิศวกรรมชีวการแพทย์ไทย, 14(1), 45-58.
- มูลนิธิคืนเสียง. (2566). รายงานประจำปี 2565: โครงการบริจาคเสียงเพื่อผู้ป่วยในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิคืนเสียง.