ชินรินโยคุ (Shinrin-yoku) หรือการอาบป่า (Forest Bathing) เป็นศาสตร์การรักษาและเยียวยาสุขภาพทางกาย-ใจที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980s นักวิจัยหลายท่าน โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แล้วพบว่าการอาบป่าส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์ในหลายๆ ด้าน ทั้งทางระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน และสภาพจิตใจ
ปัจจุบัน การอาบป่าเป็นศาสตร์การบำบัดด้วยธรรมชาติซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่คนเมืองที่หันมาให้ความสนใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น แต่การอาบป่าที่ให้ประโยชน์มากที่สุดต้องทำอย่างไรบ้าง และประโยชน์ที่ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร… วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกัน
“อาบป่า” อย่างไรให้ได้รับพลังธรรมชาติ
ความหมายของการอาบป่าที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่คุณต้องเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อเชื่อมต่อกับธรรมชาติและให้ “ธรรมชาติเข้ามาสู่ตัวคุณ”
กฎเหล็กข้อแรกคือ คุณต้องทิ้งโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะทำลายสมาธิของคุณไว้ข้างหลัง จำไว้ว่าคุณไม่ต้องการ google map หรือ GPS อะไรทั้งนั้น สิ่งที่คุณต้องทำคือเดินช้าๆ เข้าไปในธรรมชาติอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้สองเท้าของคุณนำทางคุณไปอย่างที่ต้องการ ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องตั้งเป้าว่าคุณจะต้องเดินให้ได้กี่ก้าวหรือว่าไปถึงจุดหมายที่ไหน เพราะคุณไม่จำเป็นต้องเดินไปถึงไหนเลยก็ได้ ระหว่างเดิน อย่าลืมหยุดพักเป็นครั้งคราวเพื่อนั่งลงแล้วฟังเสียงของป่า เสียงนก เสียงแมลง สูดกลิ่นป่า กลิ่นดิน รวมทั้งสังเกตใบไม้ใบหญ้าใกล้ๆ บางที คุณอาจเพิ่งเคยเห็นดอกไม้เล็กๆ ของพวกมันก็ได้
สิ่งสำคัญอีกอย่างในการอาบป่าอย่างถูกวิธีคือ ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมทางเข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติด้วย ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนว่า คุณกับเพื่อนจะไม่พูดคุยกันระหว่างการอาบป่านั้น แต่จะเดินไปด้วยกันเงียบๆ เพื่อดื่มด่ำประสบการณ์การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของตัวเอง
ที่ไหนก็ได้ที่มี “ต้นไม้”
คุณไม่จำเป็นต้องหนีเข้าป่าทุกครั้งเพื่อจะอาบป่า เพราะคุณสามารถรับการเยียวยาจากธรรมชาติที่ไหนก็ได้ที่มีต้นไม้ บางที การอาบป่าอาจเกิดขึ้นในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในสวนหลังบ้านของคุณที่มีต้นไม้โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามแรงลม มีกระรอกวิ่งเล่น มีนกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่บนนั้น แต่อย่าลืมตัดขาดจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง “มอง-ฟัง-สัมผัส-สูดดม” หรือบางทีคุณอาจเด็ดเกสรดอกไม้ (ที่กินได้) มาชิมรสหวานๆ ของมันด้วยก็ได้
เลือก “ป่า” ที่คุณชอบ
การอาบป่าไม่มีสูตรสำเร็จว่าต้องเป็นป่าชนิดไหนหรือว่าที่ไหน อย่างที่บอก การอาบป่าเกิดขึ้นได้ทุกที่ที่มีต้นไม้ และจะยิ่งได้ประโยชน์ต่อสุขภาพกายใจมากเข้าไปอีก หากคุณเลือกป่าหรือสถานที่ที่คุณหลงใหลเป็นพิเศษ เช่น บางคนอาจชอบกลิ่นดินฉ่ำฝนชื้นๆ บางคนมีความทรงจำพิเศษในวัยเด็กเกี่ยวกับป่าโปร่ง ถ้าคุณได้มีโอกาสพาตัวเองไปในธรรมชาติที่คุณชื่นชอบเหล่านั้น นักวิจัยกล่าวว่า ประสบการณ์อาบป่าของคุณจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากเข้าไปอีก
อาบป่าต้องนานเท่าไร
นักวิจัยที่ทำการศึกษาเรื่องการอาบป่าจะแนะนำให้คุณใช้เวลาอาบป่าอย่างเต็มที่ 2 ชั่วโมง แต่นั่นก็ไม่ใช่กฎตายตัวอีกเหมือนกัน ถ้าคุณไม่มีเวลามากพอ เอาจริงๆ แค่เดินเล่นในสวน 10 นาทีก็ช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้แล้ว
เครียดมากๆ ลองอาบป่ากับ therapist
ในญี่ปุ่น มีโปรแกรมการอาบป่าอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยจะมีการเช็คสุขภาพร่างกายและให้คุณทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้น นักบำบัดที่ได้รับการฝึกมาทางด้านศาสตร์การอาบป่าโดยเฉพาะก็จะออกแบบการเดินไปในป่าที่เหมาะสมที่สุดให้คุณ รวมทั้งจะร่วมเดินนำทางไปกับคุณด้วย
อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญก็รับการบำบัดจากป่าได้ หรือถ้าคุณไม่สะดวกกับการเดิน ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่สามารถทำขณะอาบป่าได้เช่นกัน เช่น โยคะ ปิกนิก จิบน้ำชา ไทชิ นั่งสมาธิ ฝึกสมาธิจากการหายใจ และทำงานศิลปะ
“ไฟทอนไซด์” ของขวัญจากต้นไม้แด่มนุษย์
แม้แต่คนที่ไม่ได้คลั่งไคล้ธรรมชาติก็ยังยอมรับว่า เมื่อไรก็ตามที่ได้ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มองดูต้นไม้เขียวๆ ฟังเสียงนกเสียงลม ก็รู้สึกผ่อนคลายหายเครียดจากชีวิตและการงานไปได้มากทีเดียว
เมื่อธรรมชาติช่วยลดความเครียดให้เรา ความดันโลหิตก็จะลดตาม รวมทั้งความกังวล ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และสับสน แต่ประโยชน์ของการอาบป่าที่มีต่อสุขภาพยังไม่หมดเพียงแค่นั้น นักวิจัยด้านการอาบป่าพบว่า การได้สูดอากาศเข้าไปเต็มปอดขณะอาบป่า เราจะสูดเอา “ไฟทอนไซด์” (Phytoncide) เข้าไปด้วย ไฟทอนไซด์คือสารเคมีที่ต้นไม้ผลิตออกมาเพื่อปกป้องตัวมันเองจากแมลง แบคทีเรีย และเชื้อรา เมื่อไฟทอนไซด์เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ กลไกในร่างกายจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั่นคือ Natural Killer Cell (NK Cell) โดย NK Cell นี้มีหน้าที่สำคัญในการทำลายเซลล์ที่มีการติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง ผลจากการทดลองโดยกลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่นพบว่า หลังจากกลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมทริปกิจกรรมอาบป่าเป็นเวลา 2 คืน 3 วัน ร่างกายของพวกเขามี NK Cell เพิ่มขึ้นในตลอด 30 วันหลังจากนั้น ปัจจุบัน นักวิจัยกำลังพยายามหาคำตอบอีกว่า การอาบป่าจะช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้หรือไม่
เมื่อการอาบป่ามีประโยชน์มากมายขนาดนี้ อย่าลืมหาเวลาว่างปลีกตัวเข้าหาธรรมชาติกันบ้าง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ การอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าทุกวัน วันละ 10-20 นาที ก็จะยิ่งดีมากเข้าไปอีก ที่สำคัญ เมื่อธรรมชาติมีคุณกับมนุษย์มากขนาดนี้ มนุษย์ต้องไม่ลืมที่จะดูแลรักษาธรรมชาติให้สวยงามและบริสุทธิ์ไปอีกนานๆ ด้วยเช่นกัน
–