อะไรๆ ก็ฉัน…แต่ Sandwich Generation อย่างเราต้องรอด!

Care / Self Care

ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องดูแลพ่อแม่ในวัยชราพร้อมๆ กับลูกที่ยังไม่โตพอจะรับผิดชอบตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลในเรื่องการเงิน การช่วยเหลือต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และดูแลสภาพจิตใจ ขณะเดียวกัน คุณก็ยังมีอาชีพการงานต้องรับผิดชอบและอยู่ในบทบาทของสามีหรือภรรยาที่ต้องประคับประคองชีวิตคู่… ใช่ค่ะ ถ้าคุณเป็นทั้งหมดนี้ที่ว่ามานี้ ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือ แซนด์วิชเจเนอเรชัน (Sandwich Generation) หรือวัยกลางคนผู้แบกรับภาระหนักทั้งงาน เงิน และครอบครัว! 

เพราะมีความรับผิดชอบมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องครอบครัวที่ต้องดูแลอีกสองเจเนอเรชั่นที่ประกบหน้า-หลังคุณอยู่ แซนด์วิชเจเนอเรชันจึงมักประสบปัญหาความเครียด หมดไฟ ท้อแท้ และเหนื่อยล้าจนเหมือนจะตาย แต่… เดี๋ยวก่อน! คุณยังตายไม่ได้ เพราะคุณยังมีสมาชิกครอบครัวอีกมากต้องดูแล

ว่าแล้วก็มารู้จักคำแนะนำ 7 ข้อที่น่าจะพอช่วยให้คุณข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ราบรื่นมากขึ้นกันดีกว่า

1. กระจายงาน (บ้าน) ให้สมาชิกในครอบครัว

จำไว้ให้ดีเป็นอย่างแรกว่า คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว รวมทั้งเรื่องงานบ้าน ถ้าลูกๆ ของคุณโตพอที่จะช่วยเหลือหยิบจับอะไรได้บ้าง คุณควรหัดให้เขาทำงานบ้านง่ายๆ และค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นไปตามอายุ การให้เด็กๆ ช่วยรับผิดชอบงานบ้านยังเป็นการฝึกทักษะและระเบียบวินัยที่ดีอีกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของคุณ ถ้าท่านยังแข็งแรงพอที่จะทำอาหารหรือทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งสอนการบ้านหลานๆ คุณควรเปิดโอกาสให้ท่านได้ทำ เพราะนอกจากพ่อแม่จะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้แล้ว การให้ผู้สูงวัยได้ทำโน่นทำนี่ก็ยังช่วยให้พวกเขาไม่เหงา โดยเฉพาะถ้าเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับหลานๆ แล้ว ก็ยิ่งดีต่อใจ

2. แบ่งความรับผิดชอบให้พี่น้อง

ถ้าคุณไม่ได้เป็นลูกคนเดียว นั่นแปลว่าคุณยังมีพี่น้องที่สามารถเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลบุพการีได้ หากพ่อแม่อาศัยอยู่กับคุณ คุณอาจแบ่งหน้าที่ให้พี่น้องคนอื่นมาช่วยรับส่งพ่อแม่ไปหาหมอหรือไปธุระต่างๆ บ้าง หรือหากคุณกับพี่น้องไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันหรือว่าใกล้กัน ก็ให้พวกเขาดูแลพ่อแม่ในเรื่องที่สามารถจัดการทางไกลได้ เช่น การเงิน ภาษี การวางแผนเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ฯลฯ เชื่อเถอะว่าการขอให้พวกเขาช่วยไม่เพียงจะเป็นการช่วยตัวคุณเองเท่านั้น แต่พวกเขายังจะรู้สึกดีมากขึ้นด้วยที่ได้มีโอกาสดูแลพ่อแม่บ้าง

3. หาตัวช่วยด้วยการ ‘จ้าง

จ้างแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก หรือผู้ดูแลผู้สูงวัย อะไรทำนองนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมายก็สามารถจ้างผู้ช่วยเหล่านี้มาช่วยแบ่งเบาภาระได้ เพราะสมัยนี้แม่บ้านออนไลน์ที่มารับจ๊อบทำความสะอาดบ้านเป็นครั้งคราวก็มีถมเถไป และราคาก็ไม่ได้สูงอะไรนัก หรือคุณอาจเลือกผูกปิ่นโตกับร้านอาหารใกล้บ้านเพื่อตัดภาระเรื่องเข้าครัวไป อย่างไรก็ดี ถ้าเลือกจ้างพี่เลี้ยงเด็กหรือผู้ดูแลผู้สูงวัย คุณต้องมั่นใจว่าคนที่คุณเลือกมานั้นไว้ใจได้และเข้ากับครอบครัวของคุณได้ดีด้วย

4. ย้ายไปต่างจังหวัด

มีหลายครอบครัวที่ตัดสินใจพาพ่อแม่และลูกๆ ย้ายสำมะโนครัวออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ต่างจังหวัด แล้วพบว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางที่ประหยัดเวลาไปได้มาก เพราะในต่างจังหวัด คุณสามารถขับรถพาพ่อแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลได้ภายในสิบนาที (แถมวิวยังสวยด้วย) และอาจให้ลูกๆ เดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์ แค่ออกไปนอกเมืองไม่ไกล ทั้งครอบครัวก็ได้พักผ่อนร่วมกันอย่างมีความสุขท่ามกลางธรรมชาติแล้ว ถ้าคุณเป็นอีกคนที่เหนื่อยหน่ายกับเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ มีกำลังทรัพย์มากพอ และคิดว่าจัดการย้ายบ้านได้ไม่ยุ่งยาก ไอเดียนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวนะ

5. จัดลำดับความสำคัญ

บางครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกัน คุณตาหกล้มแขนแพลง ลูกสอบตก หมาไม่ยอมกินข้าว ก๊อกน้ำรั่ว อ่างล้างจานตัน ประชุมสำคัญในวันรุ่งขึ้น ฯลฯ … ก่อนอื่น ใจเย็นๆ ตั้งสติ และจัดลำดับดูว่าเรื่องไหนที่จำเป็นต้องจัดการเป็นอันดับแรกๆ หรือเรื่องไหนสามารถรอไปก่อนได้ จากนั้นก็ค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่อง หากจำเป็น กลับไปดูข้อ 2-3 เพราะคุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องหรือจ้างผู้ช่วยเฉพาะกิจ 

6. พูดคุยเปิดอก

จำที่เราบอกคุณเป็นอย่างแรกได้ไหมว่า คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว คุณจึงไม่ควรคาดหวังว่าคุณจะจัดการทุกอย่างได้หมด และอย่าโทษตัวเองถ้าคุณทำบางอย่างได้ไม่ดีพอ ถ้าคุณรู้สึกว่าสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ คาดหวังในตัวคุณไปหมดทุกอย่าง พูดคุยกับเขาตรงๆ ว่าอะไรที่คุณทำให้พวกเขาได้ อะไรที่คุณทำไม่ได้ และพวกคุณควรจะแก้ปัญหากันอย่างไรดี หากคุณเกิดความเครียดหรือซึมเศร้า หาโอกาสปรึกษาเปิดใจกับคู่ชีวิต อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว 

7. ดูแลตัวเอง

เวลาขึ้นเครื่องบิน พนักงานต้อนรับจะบอกเราว่า หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินจนต้องใช้หน้ากากออกซิเจน ให้ผู้โดยสารที่เดินทางกับเด็กใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วจึงค่อยใส่ให้ลูกๆ หลานๆ เป็นลำดับถัดไป เหตุผลนั้นก็เหมือนกับที่เราบอกให้คุณดูแลตัวเองให้ดีก่อนนั่นแหละ เพราะถ้าคุณไม่แข็งแรงพอแล้ว คุณจะไปดูแลคนอื่นๆ ในครอบครัวได้อย่างไร

หาเวลาให้ตัวเองได้ทำงานอดิเรกที่ชอบบ้าง ออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ชวนสามีภรรยาไปกินข้าวนอกบ้านตามลำพังบ้าง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และอย่าลืมพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ แค่นี้เองวิธีการดูแลตัวเอง ไม่ยากเกินไปใช่ไหม

สุดท้าย เราขอเอาใจช่วยชาวแซนด์วิชเจเนอเรชันทุกคนให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี หากเหนื่อยก็พัก หนักก็วางลงบ้าง และหากท้อแท้ขึ้นมาเมื่อไร อย่าลืมเตือนตัวเองว่า การเป็นแซนด์วิชเจเนอเรชันนั้นก็มีข้อดี เพราะนั่นหมายถึงว่าคุณยังมีคนที่คุณรักอยู่ให้ดูแลด้วยถึงสองเจเนอเรชัน

แปลและเรียบเรียงจาก:
moneycrashers.com
fivestarseniorliving.com

ข้อมูลเพิ่มเติม:
bbc.com

บทความที่เกี่ยวข้อง