โมฮัล ศกภูเขียว หมอฟันหมอลำผู้เติมฝันจากการลงมือทำ

Human / Self-Inspiration

‘ความฝัน’ คือ หนึ่งในแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้มนุษย์อยากพัฒนาตัวเองเพื่อทำสิ่งที่รักให้สำเร็จ ความฝันยังเป็นสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงและสูบฉีดให้หัวใจของเรายังคงพองโตแม้ในวันที่อะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างใจ สำหรับ โมฮัล ศกภูเขียว ทันตแพทย์หนุ่มจากจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีทั้งความฝันและวันที่ไม่เป็นใจเหมือนๆ กับใครหลายคน แต่เขาไม่เคยจะหยุดลงมือทำเพื่อให้ฝันของการเป็นนักร้องไปได้สุดทาง พร้อมๆ กับการได้ทำงานหมอฟันที่เขารัก สัมภาษณ์ฉบับนี้ เราขอพาทุกคนไปสัมผัสกับชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ ‘หมอฟันหมอลำ’  คนนี้กับเสียงเพลงม่วนๆ ที่คอยขับกล่อมหัวใจของเขาและผู้คนมากมาย

สองบทบาทหนึ่งตัวตน

ในวัยเด็ก หมอโมฮัลฝันอยากเป็นครูเป็นหมอเหมือนกับเด็กๆ คนอื่น เขาสอบติดคณะสาธารณสุขศาสตร์ในเวลานั้น แต่ด้วยสถานะครอบครัวชาวนาที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย เขาจึงไม่ได้เรียนต่อ ญาติพี่น้องที่เป็นหมออนามัยจึงแนะนำให้คุณหมอไปสอบเข้าเรียนเป็นเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาล ระหว่างเรียนมีเงินทุนให้ และจบมาจะได้บรรจุเป็นข้าราชการทำงานทันตกรรมในเชิงส่งเสริมป้องกันในชุมชน เขาสามารถสอบเข้าและสำเร็จการศึกษาเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลที่วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดขอนแก่น  ได้ทำงานเป็นทันตาภิบาลอยู่ 6 ปีเต็ม

เราจึงถามต่อว่า แล้วความฝันที่อยากเป็นนักร้องของคุณหมอล่ะ เริ่มที่ตรงไหน? 

“สมัยเรียนเป็นเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลที่วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดขอนแก่น กิจวัตรที่ผมชอบทำเป็นประจำ คือ อาบน้ำไปร้องเพลงไป แล้วร้องแบบโหวกเหวกตามประสาแบบนั้นเลย เพื่อนๆ ที่เล่นดนตรีเห็นว่าเราชอบร้องเพลง เลยมาชวนไปเป็นนักร้องในวงของเขา ตอนนั้นอายุ 20 ยังร้องเพลงไม่เป็น วันที่ไปร้องจำได้ว่า ผมเลือกเพลงสัญญาเมื่อสายัณห์ แต่พออ้าปากร้องเท่านั้นแหละ เพื่อนๆ เขาก็หยุดเล่นดนตรีและมีเพื่อนคนหนึ่งหันมาพูดกับผมว่า “บักโม มึง ร้องจั่งซี่ พวกกูจะเล่นจั๊งได๋” (โม ถ้าร้องอย่างนี้ พวกเราจะเล่นดนตรีอย่างไร) ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าอ้าปากขึ้นแล้วดนตรีจะเล่นไปพร้อมกับเสียงของเราอะไรแบบนั้น แต่จริงๆ คือเสียงเหินมาเลย คือไม่เข้าจังหวะ ซึ่งคำพูดของเพื่อนไม่ได้ทำให้ผมท้อเลยนะ แต่มันกลับเป็นแรงฮึดให้ผมอยากทำให้สำเร็จมากกว่า จึงบอกตัวเองหลังจากวินาทีนั้นว่า ‘ผมจะเป็นนักร้องที่เก่งและดังให้ได้’ ผมเริ่มฝึกฝนจากการฟังเทป ใช้วิธีการซ้อมจากการการฟังเสียงนักร้องต้นฉบับแล้วมาผนวกกับเทคนิคของตัวเอง และไปฝึกร้องตามร้านคาราโอเกะ พอเริ่มเข้าที่เลยตัดสินใจไปสมัครเป็นนักร้องในร้านอาหารหลังเลิกจากงานซึ่งตอนนั้นทำงานในบทบาททันตาภิบาลอยู่ ผมได้ค่าจ้างจากการร้องเพลงวันละ 70 บาท บางคืนร้องเพลงจนดึกดื่นเที่ยงคืน แล้วตอนเช้าตื่นมาทำงาน แต่ใจยังสู้ เพราะเรามีพลังที่อยากจะทำสิ่งที่ตั้งใจให้สำเร็จ

“จนมีวงดนตรีหมอลำชื่อ ‘ไทยกันเองวาทศิลป์’ เป็นวงที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ ประกาศคัดเลือกนักร้องนำวงหมอลำ ผมตัดสินใจไปสมัคร ในครั้งนั้น มีผู้ร่วมคัดเลือกทั้งเสียงดีและหล่อเหลาหลายคน ใจหนึ่งก็หวั่นๆ แต่ผมก็ทำเต็มที่ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักร้องนำ ตอนนั้นไม่รู้ว่าผู้จัดการหรือเจ้าของวงคิดอย่างไรถึงเลือกผม ทั้งๆ ที่มีคนไปคัดเลือกเยอะแยะขนาดนั้น หลังจากได้รับคัดเลือกผมมีโอกาสได้ทัวร์คอนเสิร์ตตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นอะไรที่ทุกคนงงมาก ภาษาอีสานจะบอกว่า ทุกคน ‘งึด’ ว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะจากคนที่ร้องเพลงไม่เป็นเลยได้ขึ้นไปร้องเพลงกับวงดนตรีชื่อดัง พร้อมกับแด๊นเซอร์ 70-80 คนอะไรแบบนั้น ตอนนั้นเลยควบงาน 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน กลางวันทำงานทันตาภิบาล ตกเย็นไปทัวร์คอนเสิร์ต  ไปถึงเวทีสามทุ่มบ้าง สี่ทุ่มบ้าง ห้าทุ่มก็ยังมี บางทีขึ้นเวทีไปแบบที่ทุกคนเตรียมชุดรอ แต่งตัวเสร็จวิ่งขึ้นเวทีเลย เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้น สนุกสนาน และได้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ ถือเป็นช่วงชีวิตที่คุ้มค่ากับความพยายามของเรา”

ขณะที่อาชีพนักร้องกำลังไปได้ดี แต่เพราะการทำงานทั้งสองบทบาททั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คุณหมอมีเวลาพักผ่อนน้อย จนเริ่มมีปัญหาสุขภาพซึ่งส่งผลต่อเรื่องการใช้เสียง

“เพราะผมไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำให้เสียงเริ่มมีปัญหา ตอนนั้นจึงต้องหยุดการเป็นนักร้องไป ผมยอมรับว่าเสียใจมาก เพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งที่เรารักและยังเป็นรายได้ที่เราสามารถนำมาดูแลครอบครัวได้ด้วย พอดีกันกับที่มีประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลทั่วประเทศเพื่อคัดเลือกคนเข้าเรียนทันตแพทย์ ผมตัดสินใจสอบและบอกตัวเองว่าเราจะต้องทำให้ได้ ปรากฏว่าผมสอบติด เลยได้เข้าเรียนทันตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วงนั้นจึงเป็นช่วงพักที่ได้ฟื้นฟูทั้งสุขภาพกาย เสียง และใจไปด้วย ชีวิตหลังจากเรียนจบ ผมไปใช้ทุนเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดอุบลราชธานีอยู่ 5 ปี แล้วถึงลาออกมาเปิดคลินิกทันตกรรมในอุบลราชธานีจนถึงปัจจุบัน”

สองฝันที่มาบรรจบ

หากนำแฮชแท็ก #หมอโมฮัลหมอฟันหมอลำ ไปเสิร์ชใน Youtube หรือ Tiktok ที่ที่เราได้พบกับคุณหมอครั้งแรก คุณจะเจอกับวิดีโอที่ฉายภาพคุณหมอพร้อมเหล่าแด๊นเซอร์ที่ใช้เสียงเพลงมาช่วยลดความกังวลและความเครียดจากการทำฟัน เราจึงถามถึงไอเดียดังกล่าวว่าเริ่มต้นได้อย่างไร 

“เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาทำฟันมักจะกลัวหมอฟันหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำฟัน ผมมานั่งคิดว่าแล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้างให้คนไข้ที่มารู้สึกผ่อนคลาย เราร้องเพลงได้นี่นา ลองใช้เสียงเพลงมาทำให้บรรยากาศของการทำฟันผ่อนคลายลงน่าจะเข้าท่า ซึ่งโดยส่วนตัว เวลาทำงานผมจะฮึมฮัมร้องเพลงเบาๆ ในใจอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสผมจึงลองร้องเพลงให้คนไข้ฟัง ผลตอบรับคือคนไข้ชอบ บางคนมีนัดครั้งต่อไป เขาจะบอกเลยว่า ‘คุณหมอคะ ครั้งหน้าขอฟังเพลงด้วยนะคะ’ หรือบางทีน้องๆ ที่มาจัดฟันจะบอกว่า ‘พี่หมอคะ ครั้งหน้าหนูขอฟังเพลงได้ไหมคะ?’ การร้องเพลงทำให้คนไข้หลายๆ คนรู้สึกผ่อนคลายและช่วยลดความกลัวความกังวลไปได้ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า ไม่ได้ร้องเพลงให้คนไข้ทุกคนฟังและไม่ใช่ทุกเวลา  เพราะจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบฟังเพลง แม้แต่คนที่ชอบ เราก็ต้องถามก่อน และที่สำคัญคือเรื่องของเวลาที่จะต้องเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถจัดการเรื่องการรักษาได้ครบถ้วนเสียก่อน และจะต้องไม่กินเวลาคนไข้ท่านอื่นๆ ทุกอย่างจึงอยู่กับความเหมาะสม บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าคลินิกนี้มีแต่ร้องลำทำเพลงทั้งวัน ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เราจะดูว่าวันหนึ่งเรารับกี่เคส เราจะรับตามความเหมาะสม ตามกำลังที่เราทำได้ และไม่ได้ร้องทุกเคส ที่สำคัญคือคุณภาพของงานทันตกรรมจะต้องไม่ลดลงเด็ดขาด เราต้องรักษามาตรฐานตรงนั้นไว้เพื่อให้คนไข้ได้รับบริการที่ดีที่สุด จนถึงตอนนี้ผมร้องเพลงมาได้ 10 กว่าปีแล้วตั้งแต่เริ่มเปิดคลินิก” 

เราจึงถามต่อถึงการไลฟ์สดร้องเพลงของคุณหมอด้วยว่าคุณหมอจัดแบ่งเวลาอย่างไรให้ทั้งสองสิ่งยังไปได้ด้วยกันอย่างดี

“ใช่ครับ สิ่งหนึ่งที่เราคนทุกคนมีเท่ากันคือเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะให้ความสำคัญในจุดไหนมากกว่ากัน บางคนให้ความสำคัญในการพักผ่อน การนอน บางคนให้ความสำคัญกับการทำงาน แต่ตัวผมมีสองอย่าง อาชีพหลักของเราคือทันตแพทย์ อีกส่วนหนึ่งที่เรารักและมีคนรอเราอยู่ก็คือการร้องเพลง ผมมีความสุขจากการร้องเพลง การมีแฟนเพลงที่ชื่นชอบชื่นชมเรามารอเรา แม้บางสัปดาห์ที่ผมไม่ว่างตั้งหลายวัน ก็ยังมีคนมาถามหาว่า ‘เมื่อไหร่คุณหมอจะกลับมา เมื่อไหร่จะมาไลฟ์’ การได้ยินหรือได้อ่านคำถามแบบนั้นมีค่าต่อใจผมมาก ไม่ว่าจะมีแฟนคลับกี่คนก็ตาม ผมถือว่ามีความหมาย เพราะคนเหล่านั้นเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา ผมจึงพยายามที่จะจัดสรรเวลาเพื่อให้สามารถมาสร้างความสุขให้กับพวกเขาได้ ถามว่า เหนื่อยไหม? เหนื่อยนะครับ ก่อนเข้ารายการไลฟ์สดในบางวัน ยังถามตัวเองเลยว่า ‘เราจะร้องเพลงออกไหม จะร้องได้ดีไหม’ แต่พอเข้ารายการแล้ว ไม่รู้ผมเอาพลังมาจากไหน แบบว่า ลืมไปเลยว่าตัวเองเหนื่อย ก็ร้องเพลงได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส”

ปัญหาสร้างปัญญา

“จริงๆ ชีวิตผมมีช่วงลุ่มๆ ดอนๆ อยู่หลายหนเหมือนกัน เหตุการณ์แรกคือตอนที่ผมเป็นทันตาภิบาลอยู่โรงพยาบาล ช่วงแรกๆ ที่ฝึกร้องเพลงยังไม่มีคาราโอเกะใน Youtube ผมมักจะหาโอกาสไปฝึกร้องเพลงที่ร้านคาราโอเกะในอำเภอ แล้วส่วนใหญ่เป็นห้องรวม มีครั้งหนึ่งไปกับเพื่อนสองคน  จำได้ว่าผมร้องเพลงอยู่ดีๆ มีผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง โต๊ะเขามีเพื่อน 4-5 คน เดินมาที่โต๊ะ ซึ่งเป็นช่วงที่เพื่อนผมออกไปข้างนอกและผมนั่งอยู่คนเดียว เขาเดินเข้ามาหา ผมก็ยิ้มให้เขาตามปกตินิสัย แต่รู้ตัวอีกที ก็รู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ อาบหน้า ปรากฏว่าผมโดนขวดเบียร์ตีหัวเลือดอาบ เย็บไป 42 เข็ม (หัวเราะ) ข่าวดังมากแบบดังไปทั่วอำเภอว่าหมอฟันโดนตีหัว ผมบอกตัวเองว่า เราจะไม่โดนตีหัวฟรีแน่ๆ การที่เราไปที่นั่นเพราะเราอยากเป็นนักร้อง ดังนั้น ผมจึงไม่ให้เหตุการณ์นั้นมาเป็นตัวขัดขวางความตั้งใจ นับจากวันนั้นจนเวลานี้ ผมได้ทำในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะเป็นนักร้องนำวงหมอลำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งที่เราฝันมาตลอด และปัจจุบันก็ยังคงได้ร้องเพลงอยู่ 

“ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่คลินิก ผมออกแบบพื้นที่รองรับลูกค้าในคลินิกให้มีลักษณะเป็นถ้ำชื่อว่า ‘ถ้ำประกายทองทะลุมิติ’ ตอนที่เริ่มก่อสร้าง ผมโดนผู้รับเหมาโกงเอาเงินไป ด้วยความเชื่อใจเพราะเขาบอกว่ามาจากสถาบันเดียวกันและคิดว่าเขาคงไม่มีรายได้จึงมาหางาน ผมจึงให้เงินเขาไปหมดเลย คิดว่าคงนำไปซื้อเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์มาก่อสร้างให้เรา แต่ทำงานได้ไม่เท่าไหร่ เขาหายไปเลย ตอนนั้นรู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน แต่การโดนโกงคราวนั้นเป็นแรงฮึดให้เราตั้งใจที่จะทำผลงานให้ออกมาดียิ่งขึ้น จนเวลานี้ผมทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ จากตึกหนึ่งคูหาผมสร้างเป็นถ้ำขนาดใหญ่และมีผู้คนหลั่งไหลมาชมจากทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ที่สำคัญคือคนที่มาเขามีความสุข เป็นจุดเปลี่ยนจากที่ถูกโกง จนได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า รวมทั้งเหตุการณ์ที่สามซึ่งเป็นช่วงที่มีปัญหาเรื่องเสียงทำให้ร้องเพลงไม่ได้ในเวลานั้น ผมจึงบอกตัวเองว่าเราต้องสอบเข้าเรียนทันตแพทย์ให้ได้ และเราก็ทำได้

“ผมเชื่อว่า ‘ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีเสมอ’ อย่างทั้งสามเหตุการณ์ที่กลายเป็นแรงผลักดันให้ผมตั้งใจและพยายามมากขึ้น พอเราคิดว่า อะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ เวลามีอะไรเข้ามากระทบ เราจึงคิดว่า ‘ไม่เป็นไร’ เหมือนเราให้อภัยได้ง่ายๆ จำตอนที่เล่าเรื่องโดนตีหัวได้ใช่ไหม หลังจากเหตุการณ์นั้นผมนั่งสวดมนต์แผ่เมตตาทุกวันเลยนะ แผ่เมตตาให้คนที่มาตีเรา ขอให้เขาหมดทุกข์ หมดโศก และมีความสุข  อโหสิกรรมให้แก่กันและกัน เชื่อไหมครับว่า 1 ปีผ่านไป ผมไปเจอเขา ปกติธรรมชาติของคนทั่วไปอาจจะยังรู้สึกโกรธกันบ้าง หรือไม่อยากเข้าไปใกล้ ไม่อยากคุยด้วย แต่วันที่ได้เจอ ผมเข้าไปทักทายได้อย่างสนิทใจแบบที่ความรู้สึกโกรธเกลียดเป็นศูนย์เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แล้วพอผมไม่มองปัญหาว่าเป็นปัญหา มันเลยกลายเป็นว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคเป็นแค่โจทย์หนึ่งในชีวิตที่เปิดโอกาสให้เราได้หาคำตอบและเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ ได้พัฒนาทักษะชีวิตและการมองโลก ผมเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออกและปัญหาที่เราเผชิญจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ ผมถือว่าปัญหาเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เราจะได้พัฒนาตัวเองต่อไป”

โลกที่หมุนด้วยความรัก

“ผมเป็นลูกชาวนา พ่อแม่จบประถม 4 มีหนี้มีสิน แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นคนขยันมาก และบุคคลที่ผมรู้สึกว่าได้จากท่านมาเกือบทั้งหมดเลยคือคุณแม่ ไม่ว่าท่านจะทำงานเหนื่อยแค่ไหน ท่านไม่เคยบ่นให้ลูกๆ ได้ยิน ทุกค่ำแม่จะคิดหาทางว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรดีเพื่อหาสตางค์เข้าบ้าน  บางวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียนผมจะพาแม่ขับมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ไปขายของตามหมู่บ้าน เช่น ยาสมุนไพรซองละ 5 บาท 10 บาท พอตกเย็นกลับมาก็เอาสตางค์ที่หาได้มานับด้วยกัน วันไหนได้ 200-300 เรากอดคอดีอกดีใจกัน แถมแม่ยังเป็นมิตรกับผู้คน ไปไหนมาไหนจึงมีแต่คนรัก แม่จะฝึกให้ลูกๆ พูดเพราะและคิดดี พยายามทำทุกสิ่งอย่างให้ดี คุณแม่มีคำอวยพรมาให้ตลอดและเยอะมาก แต่คำหนึ่งที่จำได้ขึ้นใจคือแม่บอกว่า ‘ขอให้ลูกเป็นคนดีของสังคม’ คุณแม่เลยเป็นตัวอย่างของการทำงานและการใช้ชีวิต ส่วนคุณพ่อ ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ขยันทำมาหากินเช่นกัน ท่านทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูและส่งลูกๆ ทั้ง 5 คนจนเรียนจบปริญญาได้ทั้งหมด แม้พ่อแม่จะไม่ได้ร่ำรวยและเรียนน้อย แต่ท่านไม่เคยทำให้เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คืออุปสรรคของชีวิต ผมและพี่น้องภูมิใจมากๆ ที่ได้เกิดมาท่ามกลางความรัก อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น เติบโตจากการเลี้ยงดูของพ่อและแม่ที่เต็มไปด้วยพลังกายพลังใจ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม ผมจึงไม่เคยมองว่าเป็นปัญหา แต่จะเป็นโจทย์ที่ทำให้เราแข็งแกร่งและแตกฉานมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นชีวิตในมิติไหนๆ ก็ตาม” 

จากผู้รับสู่ผู้ให้ 

“แต่ก่อนผมอยากเป็นนักร้องมากๆ ตั้งแต่ตอนที่เป็นทันตาภิบาล ไม่ได้คิดว่าจะมาสอบเป็นทันตแพทย์แบบทุกวันนี้ แต่คุณแม่มาขอว่า ‘สอบทันตแพทย์ให้แม่หน่อยได้ไหม’ เพราะตอนนั้นมีโควต้าให้เจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลสามารถสอบเรียนทันตแพทย์ได้ ถึงเวลานี้จึงผมต้องขอบคุณท่าน รวมถึงคุณพ่อด้วยที่ชี้ให้เห็นโอกาส เพราะผมมีความสุขกับการที่ได้ดูแลคนไข้ เวลาที่คนไข้มีปัญหามา เขาปวดฟัน ฟันแตก ฟันไม่สวย แล้วงานของเราไปช่วยให้เขาหายเจ็บปวด ฟันสวยขึ้น มีฟันเคี้ยวอาหาร กินข้าวได้  กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติสุข นั่นคือความภูมิใจในวิชาชีพทันตแพทย์ 

“ขณะที่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรักไม่น้อยไปกว่ากันคือการร้องเพลง ซึ่งการที่ผมมีโอกาสได้ทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันเป็นเรื่องที่ถือว่าโชคดีมากๆ การได้ร้องเพลงให้คนไข้ฟังแล้วพวกเขาตอบรับด้วยฟีตแบ็คที่ดี มีหลายคนที่ตั้งใจมาหาหรือบางท่านจองคิวล่วงหน้ามาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเลยว่าจะต้องมาทำฟันที่นี่ อะไรแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่าต่อใจ นอกจากต่อใจผมเองที่มีความสุขแล้ว ยังมีค่าต่อใจคนที่ได้รับสิ่งที่เรามอบให้ ทั้งการรักษาและการร้องเพลงด้วย 

“ภาพที่ทุกคนเห็น ผมคือทันตแพทย์ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ไม่มีใครเห็นเบื้องหลังและชีวิตที่ผ่านมาของผมที่ก้าวมาจากรากหญ้า ไม่ได้มีชีวิตสมบูรณ์แบบ กว่าจะมาถึงวันนี้ ผมต้องฝ่าฟันและใช้ความพยายามอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากทำหลังจากนี้ไปคือการนำประสบการณ์ชีวิตไปแนะแนวน้องๆ นักเรียนตามโรงเรียนในชนบทที่ห่างไกล ทั้งในเรื่องของอาชีพที่ผมทำอยู่ ไปจนถึงทักษะการใช้ชีวิตเพื่อให้น้องๆ ได้มีตัวอย่างให้เห็นว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้างหากอยากมาในสายอาชีพนี้ และเป็นการส่งกำลังใจจากคนที่เคยลำบากมาก่อน ผมอยากไปเติมไฟให้พวกเขา อยากไปให้ทั้งความรู้และส่งความสุขผ่านเสียงเพลงในโรงเรียนชุมชนรอบนอก หรือโรงเรียนที่อยากให้เราไปมอบแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนของพวกเขา

“อีกด้านหนึ่ง เพราะผมชอบทำบุญมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมา ผมได้ทำกับทางพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือบุคคลเท่าที่จะทำได้ ที่คลินิกของผม ผมสร้างเป็นถ้ำและจัดให้มีกิจกรรมสวดมนต์ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด เป็นกิจกรรมที่ทำมาตั้งแต่ก่อนโควิด แต่ต้องหยุดไปชั่วคราวในช่วงที่มีโรคระบาด นี่จึงเป็นอีกสิ่งที่ผมอยากสานต่อ ซึ่งถ้าทุกอย่างเอื้ออำนวย ผมอยากนำกิจกรรมนี้กลับมาจัดอย่างสม่ำเสมออีกครั้งเพื่อให้คนที่สนใจสามารถเข้าร่วมได้แบบไม่เสียสตางค์เช่นเคย จำได้เลยว่าช่วงนั้นผมมีความสุขมาก สุขจริงๆ แล้วระหว่างที่พักสวดมนต์ ผมก็ร้องลำทำเพลงให้กับสาธุชนที่มา ความสุขของผมคงเป็นเรื่องอะไรแบบนี้ สุขที่ได้ให้ ได้แบ่งปันในหลายๆ รูปแบบ ผมคิดว่าคนเรา ถ้าได้ให้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีมากพอก่อน หมายความว่ามีเหลือแล้วถึงให้ได้ ผมเองก็มีภาระรับผิดชอบ มีหนี้สิน แต่การให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองเสมอไป เราสามารถให้ความสุขผ่านสิ่งที่เรามี เช่น ความรู้ ประสบการณ์ชีวิต เสียงเพลง ให้กำลังใจ ตามกำลังที่เรามีและพอจะแบ่งปันได้ อย่างน้อยๆ การที่ผู้คนได้เจอะเจอและเห็นรอยยิ้ม ไม่ใช่หน้าตาอันบูดบึ้งของเรา สำหรับผมนั่นคือการให้แล้วนะ” 


ภาพ: ทรัพย์สิน เพ็ญมาก
Mohul Dental Clinic: www.facebook.com/MohulDentalClinic

บทความที่เกี่ยวข้อง