Grey Hair is a New Power แม้สีผมจะเปลี่ยนไป แต่ตัวตนฉันไม่เปลี่ยนแปลง

Care / Self Care

สาวๆ ที่อายุเข้าหลัก 4 แล้ว น่าจะเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งเหมือนกันเกือบทุกคน นั่นคือ แง๊… ผมเริ่มหงอกแล้วจ้าาาา

รู้ตัวอีกที เราก็เดินเข้าออกร้านทำผมเพื่อย้อมสีปิดผมหงอกกันเป็นว่าเล่น โดยที่เราแทบไม่เคยถามตัวเองเลยว่า ทำไมเราต้องปกปิดผมหงอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ? เราไม่ชอบผมสีขาวที่เปลี่ยนไปตามวัยของเราจริงๆ หรือ? และ เราย้อมผมเพราะเราอยากย้อมเองหรือเพราะสังคมบอกให้เรา ‘ห้ามแก่’ กันแน่?

สารภาพตามตรงว่าสาวๆ ของ hhc Thailand ก็เข้าสู่เลข 4 กันแล้วทั้งนั้น แล้วพวกเราก็เคยย้อมสีผมปิดผมขาวกันมาแล้ว โดยที่ไม่เคยตั้งคำถามเหล่านั้นกับตัวเองเลย จนกระทั่งเราได้รู้จักเทรนด์ปฏิวัติความคิดทางสังคมที่เรียกกันว่า Grey Hair is the New Power 

บอกเลยว่าแนวคิดของ Grey Hair is the New Power นี้ น่าสนใจจริงๆ เพราะอาจทำให้สาวๆ หลายคนปลดแอกตัวเองออกจากความคาดหวังทางสังคมที่มีต่อผู้หญิง ปลดปล่อยตัวเองออกจากความเครียด รักตัวเองอย่างถูกทางมากขึ้น และได้กลับคืนสู่การเป็นตัวเองจริงๆ 

ดีต่อใจขนาดนี้ เรามาทำความรู้จักแนวคิดนี้กันดีกว่าค่ะ

หนึ่งในสุภาพสตรีคนดังที่น่าจะเป็นคนทำให้ผู้หญิงทั่วโลกรู้จักกับแนวคิด Grey Hair is a New Power คือ นักแสดงสุดสวย Andie MacDowell เพราะเมื่อปี 2021 ที่เธอไปเดินพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานน์ MacDowell ปรากฏกายในชุดราตรีสวย แต่งหน้าทาปากแดงสด และปล่อยให้ผมหยิกฟูอันเป็นเอกลักษณ์ของเธออยู่ในโทนสีขาวแซมดำตามธรรมชาติ 

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะ MacDowell ยังทำให้ทั่วโลกต้องหันมาพิจารณาค่านิยมและความคาดหวังของสังคมที่มีต่อผู้หญิงกันใหม่ ด้วยวรรคทองว่า “แล้วทำไมที George Clooney ปล่อยผมหงอกแล้วไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

ตลอดอาชีพการแสดงที่ผ่านมา MacDowell มักเป็นที่จดจำในภาพหญิงสาวผมหยิกฟูสีน้ำตาลเข้ม โดยเฉพาะจากภาพยนตร์ ‘Four Weddings and a Funeral’ (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องนี้ บอกเลยว่าตอนนี้ต้องมีผมหงอกไปแล้วเรียบร้อย)​ ในบทสัมภาษณ์ของนิตยสาร Vogue เธอบอกว่าเธออาศัยอยู่ในสังคมฮอลลีวูดที่คาดหวังให้พวกเธอต้อง ‘ดูเด็กกว่าอายุ’ เพราะเมื่อไรที่ผู้หญิงยังดูสาวหรือดูเด็กกว่าอายุ พวกเธอก็จะเป็นที่ต้องการ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ทำให้สาวๆ ดูเด็กกว่าอายุได้ ก็คือการย้อมสีผมปิดผมขาว

แต่จนถึงจุดหนึ่ง เมื่ออายุเข้าวัย 63 แล้ว เธอบอกว่าการย้อมผมกลับทำให้เธอดูประหลาด เพราะสีผมเริ่มจะไม่เข้ากับสัญญาณแห่งวัยบนใบหน้าของเธอแล้ว เธอจึงตัดสินใจหยุดย้อมผม ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยตัวเอง ให้ตัวเองได้ยอมรับตัวตนที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น แล้วเอาเข้าจริง การปล่อยสีผมให้เป็นไปตามธรรมชาติกลับทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองดูเด็กลงกว่าเดิมเสียอีก เพราะมันคือธรรมชาติที่แท้จริง ที่สำคัญ ทำไมเธอต้องแคร์กับแค่เรื่องสีผม เธอมีลูกๆ ที่น่ารัก เธอออกกำลังกายเป็นประจำและดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างดี และเธอยังคงรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าไม่เปลี่ยนแปลง

ถ้าลองเสิร์ชแฮชแท็กคำว่า #silversisters ใน Instagram และ Facebook คุณจะพบภาพหญิงสาวในหลายช่วงอายุเปิดเผยตัวเองอย่างหมดจดในผมสีขาวตามธรรมชาติด้วยความภาคภูมิใจ Silver Sisters เป็นการรวมตัวกันของผู้หญิงจากทั่วโลกที่ยินดีจะอ้าแขนต้อนรับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องสีผมที่เปลี่ยนจากสีเดิมเป็นสีขาว เพราะพวกเธอเชื่อว่าการพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงที่เปลี่ยนไปตามวัยนั้น เป็นผลมาจากความกดดันที่สังคมสร้างขึ้น เพื่อจะพยายามให้ผู้หญิงเชื่อว่าการมีผมหงอกนั้นเป็นเรื่องน่าอับอาย

แนวคิดของ Silver Sisters รวมทั้งคำพูดของ Andie MacDowell มีความน่าสนใจคล้ายกันอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ ค่านิยมเกี่ยวกับมาตรฐานความงามที่สังคมสร้างขึ้นมาตีกรอบผู้หญิง ซึ่งหากเราลองมอนย้อนดูให้ดี เราก็น่าจะพอเห็นว่า เราทุกคนล้วนได้รับอิทธิพลจากค่านิยมเหล่านี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เช่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น สาวๆ ก็ถูกคาดหวังให้หน้าใสไร้สิว ผอมบาง หรือเมื่อเติบโตขึ้นก็ต้องดูแลผิวพรรณให้ขาวใส รูปร่างดี (รวมทั้งมีรักแร้ขาวเนียน) เช่นเดียวกับเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนก็ยังคงต้องทำตัวให้ดูเด็กกว่าอายุให้ได้

ยิ่งเมื่อมีโซเชียลมีเดีย ค่านิยมเหล่านี้ก็ถูกเผยแพร่ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะว่าภาพในโซเชียลมีเดียนั้นมักเป็น ‘ภาพที่สมบูรณ์แบบเกินจริง’ การเสพภาพเหล่านี้มากๆ จึงอาจทำให้หญิงสาวหลายคนเกิดเป็นความเครียด ความกดดัน และความคาดหวังว่าตนเองต้องเป็นแบบนั้นบ้างให้ได้ และหากไม่สามารถทำตามค่านิยมด้านความงามของสังคมได้ก็อาจนำไปสู่ปัญหาด้านสภาพจิตใจ เกิดเป็นความวิตกกังวล (anxiety) ความอับอายในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง (body shame) ซึ่งทั้งหมดอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่สำคัญที่สุดแห่งยุคสมัย นั่นคือ โรคซึมเศร้า (depression)

ดังนั้นการปฏิเสธการย้อมผมและหันมายอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองของหญิงสาวทั่วโลกจึงเท่ากับการปฏิเสธไม่ยอมรับการถูกค่านิยมทางความงามของสังคมครอบงำอีกต่อไป ซึ่งผลที่ได้รับกลับมานั้น เราเชื่อว่ามีค่ามากกว่าการดูเด็กกว่าอายุหลายเท่าตัว เพราะเราจะเคารพตัวเองมากขึ้น รักตัวเองอย่างถูกทาง มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และเป็นอิสระจากความคาดหวังของสังคม

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว มีสาวๆ คนไหนบ้างคะที่เริ่มมีความคิดอยากเลิกย้อมผม แล้วหันมายอมรับความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติกันบ้าง

เราขอบอกอีกนิดนึงนะคะว่า จริงๆ แล้ว การย้อมผมไม่ใช่เรื่องผิด แล้ว Silver Sisters หรือ Andie MacDowell ก็ไม่ได้บอกให้ผู้หญิงทุกคนเลิกย้อมผม แต่หัวใจหลักของ Grey Hair is a New Power ก็คือ เราไม่อยากให้คุณย้อมผมด้วยเหตุผลว่าเพราะคุณไม่อยากให้คนอื่นมองคุณไม่ดี เพราะคุณรู้สึกอับอายกับสีผมบนศีรษะ หรือว่าคุณต้องย้อมเพื่อเอาใจใครคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง ถ้าคุณย้อมผมด้วยเหตุผลเหล่านี้ นั่นเท่ากับว่าคุณไม่เคารพตัวคุณเอง ไม่รักตัวเองอย่างถูกวิธี แต่ถ้าคุณเลือกที่จะย้อมผมเพราะคุณอยากย้อมเอง คุณยังไม่พร้อมเปลี่ยนสีผมไปตามธรรมชาติ และคุณรักตัวเองในสีผมที่เลือก อันนี้ Grey Hair is a New Power ไม่ว่าอะไรค่ะ เพราะถือว่าคนเราแต่ละคนมีความคิดความต้องการไม่เหมือนกัน แค่ขออย่าให้คุณทำไปเพราะความคาดหวังจากคนอื่นก็พอ

ก่อนจะจบบทความชิ้นนี้ เรามีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการดูแลเส้นผมมากฝากกันค่ะ เพราะถึงการมีผมหงอกจะไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย (เอาจริงๆ แล้ว ผมหงอกคือสัญลักษณ์ของปัญญาที่มาพร้อมวัยวุฒิด้วยซ้ำ) แต่… ก็คงไม่มีใครอยากจะหงอกกันเร็วนักใช่ไหมคะ วิธีชะลอผมหงอกด้านล่างนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่สำคัญ เป็นวิธีตามธรรมชาติที่ปลอดภัย

  • ดูแลสภาพจิตใจอย่าให้เกิดความเครียดสะสม
  • กินผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ ผักใบเขียว ฯลฯ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมหวาน และอาหารแปรรูปต่างๆ 
  • กินอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ เช่น วิตามิน D, B12, E, A, ธาตุเหล็ก, สังกะสี, แมกนีเซียม
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เส้นผมสัมผัสกับความร้อนและสารเคมี เช่น จากการเป่าผม ดัดผม และทำสีผม

ไม่ว่าคุณจะมีผมหงอกขึ้นมาแล้วหรือยัง หรือว่าขึ้นมาแล้วมากแค่ไหน ถ้าจะลองทำตามวิธีด้านบนก็ไม่เสียหายอะไร เพราะล้วนเป็นเคล็ดลับที่ดีต่อสุขภาพโดยรวมของเราด้วย ส่วนผมจะหงอกไม่หงอกนั้น อย่าได้แคร์ เพราะชีวิตของเรายังมีอะไรสำคัญกว่านั้นอีกมาก

ที่มา:
vogue.com
wellandgood.com
eatingwell.com

บทความที่เกี่ยวข้อง