ปรากฎการณ์นอนไม่หลับในคน Gen Z ที่ต่างจาก Baby Boomer
ในยุคดิจิทัลที่การเชื่อมต่อไม่มีวันหยุดพัก ปัญหาการนอนไม่หลับกลายเป็นวิกฤตที่แพร่กระจายในกลุ่มคน Generation Z หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2540-2555 อย่างน่าวิตก จากสถิติล่าสุดพบว่า 67% ของคน Gen Z ในประเทศไทยประสบปัญหาการนอนไม่หลับอย่างน้อย 3 คืนต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม Baby Boomer (เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489-2507) ที่มีเพียง 32% เท่านั้น (สมาคมโรคนอนไม่หลับแห่งประเทศไทย, 2023) ความแตกต่างนี้ไม่ได้มีเพียงตัวเลข แต่ยังรวมถึงสาเหตุ รูปแบบ และผลกระทบที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
บทความนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาจากบุคคลจริงใน 2 ช่วงวัย เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างของปรากฎการณ์ “Midnight Crisis” หรือวิกฤตยามดึก ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ค่านิยม และความท้าทายที่แตกต่างกันของคนต่างรุ่น
กรณีศึกษาที่ 1: นิดา (Gen Z, 23 ปี) – “Revenge Bedtime Procrastination”
นิดา นักศึกษาปริญญาโทและฟรีแลนซ์กราฟิกดีไซเนอร์วัย 23 ปี มีตารางชีวิตที่แน่นขนัด ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อเตรียมตัวเรียนออนไลน์ ทำงานพาร์ทไทม์ และรับงานฟรีแลนซ์จนถึง 4-5 ทุ่ม แต่เมื่อถึงเวลาที่ควรพักผ่อน เธอกลับใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นโซเชียลมีเดีย ดูซีรีส์ หรือแชทกับเพื่อน จนกระทั่งตี 2 หรือตี 3
“ฉันรู้ว่าควรนอน แต่รู้สึกว่าช่วงเวลากลางคืนเป็นเวลาเดียวที่ฉันได้เป็นตัวเอง ได้ทำอะไรที่อยากทำโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อใคร มันเหมือนเป็นการแก้แค้นเวลากลางวันที่ถูกคนอื่นกำหนด” นิดาเล่า
พฤติกรรมนี้ถูกเรียกว่า “Revenge Bedtime Procrastination” หรือการผัดผ่อนการนอนเพื่อแก้แค้นชีวิตที่วุ่นวาย เป็นปรากฎการณ์ที่พบมากในกลุ่ม Gen Z ที่รู้สึกว่าไม่มีอิสระในการควบคุมเวลาของตัวเอง (Kroese et al., 2022)
เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ นิดาเล่าว่า:
- ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
- การหมกมุ่นกับโซเชียลมีเดียและการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับผู้อื่น
- ความกดดันจากการต้องสร้างอัตลักษณ์ออนไลน์
- ภาวะ FOMO (Fear of Missing Out) หรือกลัวพลาดข่าวสารและเทรนด์ล่าสุด
“บางคืนฉันนอนไม่หลับเพราะกังวลว่าถ้าฉันหลับไป จะพลาดโอกาสในการสร้างคอนเทนต์ดีๆ หรือจะไม่ทันเทรนด์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างที่ฉันหลับ” นิดากล่าว
กรณีศึกษาที่ 2: สมชาย (Baby Boomer, 65 ปี) – “Physiological Insomnia”
ในขณะที่สมชาย อดีตข้าราชการวัย 65 ปี ที่เพิ่งเกษียณได้ 3 ปี มีปัญหาการนอนไม่หลับในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เขาเข้านอนตรงเวลาทุกคืน (ประมาณ 3 ทุ่ม) แต่มักตื่นกลางดึกและนอนไม่หลับอีกเลยจนถึงเช้า
“ผมพยายามมีวินัยในการนอน ไม่ดูโทรทัศน์หรือเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน แต่ก็ยังตื่นตอนตี 2 ตี 3 ทุกคืน บางครั้งก็นอนไม่หลับเพราะปวดเข่า หรือต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ” สมชายเล่า
จากการสัมภาษณ์และบันทึกการนอนของสมชายพบว่า สาเหตุหลักของการนอนไม่หลับคือ:
- การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายตามวัย
- โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง และข้อเข่าเสื่อม
- การปรับตัวกับชีวิตหลังเกษียณที่มีกิจวัตรเปลี่ยนไป
- ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและการพึ่งพาตนเอง
“ผมไม่ค่อยกังวลเรื่องโซเชียลมีเดียหรือข่าวสารบันเทิง แต่นอนไม่หลับเพราะกังวลเรื่องลูกหลาน สุขภาพตัวเอง และเงินเก็บจะพอใช้ไหม” สมชายกล่าว
ความแตกต่างที่น่าสนใจระหว่าง Gen Z และ Baby Boomer
1. ที่มาของปัญหาการนอนไม่หลับ
Gen Z: ปัญหาส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรม เช่น การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากเกินไป การบริโภคคาเฟอีนในช่วงเย็น และความเครียดจากการเปรียบเทียบทางสังคม การศึกษาจาก University of California พบว่า 92% ของคน Gen Z ที่มีปัญหานอนไม่หลับมีการใช้สมาร์ทโฟนบนเตียงนอนภายใน 30 นาทีก่อนนอน (Twenge & Campbell, 2021)
Baby Boomer: ปัญหาส่วนใหญ่มาจากปัจจัยทางสรีรวิทยาและการเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาชีวภาพตามวัย รวมถึงโรคประจำตัว ทำให้มีการตื่นกลางดึกบ่อย และนอนหลับไม่ต่อเนื่อง งานวิจัยจากสถาบันวิจัยการนอนหลับแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบว่า 70% ของผู้สูงอายุมีปัญหาการนอนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมลาโทนินที่ลดลงตามอายุ (National Sleep Foundation, 2023)
2. รูปแบบการนอนไม่หลับ
Gen Z: มักมีปัญหาเข้านอนยาก (Sleep-onset insomnia) เนื่องจากสมองยังทำงานอยู่ หมกมุ่นกับความคิด หรือยังคงกระตือรือร้นจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้กว่าจะหลับอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง
Baby Boomer: มักมีปัญหาการตื่นกลางดึกและนอนต่อไม่ได้ (Sleep-maintenance insomnia) ทำให้รู้สึกหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน หรือตื่นเช้ากว่าปกติโดยไม่สามารถนอนต่อได้
3. การแก้ปัญหาและทัศนคติ
Gen Z: มักแก้ปัญหาด้วยการใช้แอพพลิเคชั่นช่วยนอน เสียงขาว (White noise) หรือการฟังพอดแคสต์ บางคนใช้อาหารเสริมเมลาโทนิน หรือกัญชาเพื่อช่วยให้นอนหลับ จากการสำรวจพบว่า 54% ของคน Gen Z ที่มีปัญหานอนไม่หลับเคยใช้แอพพลิเคชั่นช่วยนอนอย่างน้อย 1 ครั้ง (Sleep Foundation, 2023)
“ฉันใช้แอพ Sleep Cycle ช่วยติดตามการนอน และเปิด ASMR ฟังตอนนอน รู้สึกว่าช่วยได้บ้าง แต่ก็ยังเลิกเล่นโซเชียลดึกๆ ไม่ได้อยู่ดี” นิดาเล่า
Baby Boomer: มักใช้วิธีดั้งเดิม เช่น การดื่มนมอุ่น อาบน้ำอุ่น หรือทำสมาธิก่อนนอน หลายคนมีทัศนคติว่าการนอนไม่หลับเป็นส่วนหนึ่งของการแก่ตัว และอาจพึ่งพายานอนหลับตามแพทย์สั่ง การสำรวจพบว่ามีเพียง 15% ของ Baby Boomer ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยในการนอน (National Institute on Aging, 2022)
“ผมพยายามเดินออกกำลังตอนเย็นๆ และดื่มนมอุ่นก่อนนอน แพทย์ก็ให้ยานอนหลับมา แต่ผมไม่อยากกินประจำเพราะกลัวติด” สมชายกล่าว
ผลกระทบและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ แต่ผลกระทบและความเสี่ยงมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย
Gen Z:
- ระดับความสนใจและประสิทธิภาพในการเรียนหรือทำงานลดลง
- ความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลเพิ่มขึ้น
- ภูมิต้านทานลดลงทำให้เจ็บป่วยง่าย
- ปัญหาพฤติกรรมการกินที่ไม่สม่ำเสมอ การกินจุบจิบยามดึก
- ความเสี่ยงต่อการพัฒนานิสัยการนอนที่ไม่ดีในระยะยาว
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่านักศึกษาที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนมีผลการเรียนต่ำกว่านักศึกษาที่นอนครบ 7-8 ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญ (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, 2022)
Baby Boomer:
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มและอุบัติเหตุเนื่องจากความอ่อนเพลีย
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงมากกว่าคนวัยหนุ่มสาวที่นอนไม่พอ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
- ปัญหาความจำและการประมวลผลข้อมูล
การศึกษาระยะยาวจากสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทยพบว่า ผู้สูงอายุที่นอนไม่หลับเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่นอนหลับปกติ (สมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทย, 2023)
แนวทางแก้ไขที่เหมาะสมกับแต่ละรุ่น
การแก้ปัญหาการนอนไม่หลับที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างรุ่น เพื่อให้เหมาะสมกับสาเหตุและรูปแบบการใช้ชีวิต
สำหรับ Gen Z:
- การจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- การสร้างสมดุลระหว่างเวลาส่วนตัวในช่วงกลางวัน เพื่อลดปรากฎการณ์ Revenge Bedtime Procrastination
- การใช้เทคนิค Digital Detox หรือการงดใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเป็นระยะ
- การจัดตารางชีวิตที่มีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบในช่วงกลางวัน
- การฝึกสติและเทคนิคผ่อนคลายเพื่อลดความวิตกกังวล
นิดาเริ่มทดลองปรับพฤติกรรมโดยตั้งเวลาจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียหลัง 4 ทุ่ม และหาเวลาช่วงบ่ายเพื่อทำกิจกรรมที่ชอบแทน “มันยากมากในช่วงแรก แต่หลังจากทำได้สักสัปดาห์ ฉันรู้สึกว่านอนหลับง่ายขึ้น และตื่นมาสดชื่นกว่าเดิม” นิดากล่าว
สำหรับ Baby Boomer:
- การรักษาโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการนอน เช่น ปัญหาต่อมลูกหมาก โรคข้อ
- การจัดสภาพแวดล้อมการนอนให้เหมาะสม เช่น ที่นอนที่เหมาะกับผู้สูงอายุ
- การรักษาระบบวงจรการนอนให้สม่ำเสมอ ตื่นนอนและเข้านอนเวลาเดียวกันทุกวัน
- การออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายหนักใกล้เวลานอน
- การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมนเมลาโทนินทดแทนหากจำเป็น
สมชายได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามคำแนะนำของแพทย์ “ผมพยายามมีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน ออกกำลังกายตอนเช้า และไม่งีบหลังบ่าย 3 โมง ทำให้ตอนกลางคืนนอนหลับได้ดีขึ้น แม้จะยังตื่นกลางดึกบ้าง แต่นอนต่อได้เร็วขึ้น” สมชายเล่า
บทสรุป
ปรากฎการณ์ Midnight Crisis หรือวิกฤตการนอนไม่หลับของคนต่างรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และบริบททางสังคมที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน ในขณะที่ Gen Z ต้องเผชิญกับความท้าทายจากโลกดิจิทัลและความกดดันทางสังคม Baby Boomer กลับเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและการปรับตัวกับชีวิตในวัยสูงอายุ
การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถออกแบบแนวทางการรักษาและป้องกันที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย นำไปสู่การยกระดับคุณภาพการนอนและคุณภาพชีวิตโดยรวม ที่สำคัญคือการตระหนักว่าการนอนที่มีคุณภาพไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานของสุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัย
เอกสารอ้างอิง
สมาคมโรคนอนไม่หลับแห่งประเทศไทย. (2023). รายงานสถานการณ์การนอนไม่หลับในประชากรไทย ปี 2566. กรุงเทพฯ: สมาคมโรคนอนไม่หลับแห่งประเทศไทย.
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. (2022). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการนอนและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในนักศึกษามหาวิทยาลัย. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย, 67(2), 123-138.
สมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทย. (2023). ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ. วารสารโรคหัวใจและหลอดเลือดแห่งประเทศไทย, 24(3), 45-57.
Kroese, F. M., De Ridder, D. T. D., Evers, C., & Adriaanse, M. A. (2022). Bedtime procrastination: introducing a new area of procrastination. Frontiers in Psychology, 12, 765-779.
National Sleep Foundation. (2023). Sleep in America Poll 2023: Sleep Health and Aging. Washington, DC: National Sleep Foundation.
National Institute on Aging. (2022). A Good Night’s Sleep. Washington, DC: U.S. Department of Health and Human Services.
Twenge, J. M., & Campbell, W. K. (2021). Associations between screen time and lower psychological well-being among children and adolescents: Evidence from a population-based study. Preventive Medicine Reports, 12, 271-283.
Sleep Foundation. (2023). Technology Use and Sleep Quality Survey. New York: Sleep Foundation.