อาการชาปลายประสาท หรืออาการชาจากปลายประสาทอักเสบ เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบประสาทภายในร่างกาย ส่วนใหญ่แล้วอาการชาที่ปลายประสาทจะเกิดจากความเสียหาย หรือการทำงานผิดปกติของเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งมีหน้าที่รับ-ส่งสัญญาณและเชื่อมต่อระหว่างสมอง ไขสันหลัง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โดยอาการชาปลายประสาทนี้จะพบได้มากในผู้ป่วยที่มีอายุเฉลี่ย 30 ปีขึ้นไป และอาจเกิดจากปัจจัยข้างต้น ดังนี้…
- โรคเบาหวาน
- การติดเชื้อ
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- การบาดเจ็บจากบาดแผล
- การได้รับสารพิษ
ผู้ที่มีอาการชาปลายประสาทจะรู้สึกชา, เสียว, แสบร้อน หรือปวดคล้ายถูกเข็มแทง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ในบางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและกล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะและการทำงานของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร การขับถ่ายปัสสาวะ และการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น ซึ่งอาการข้างต้นนี้ล้วนส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของแต่ละบุคคล ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว การนอนหลับ และความเป็นอยู่โดยรวม
ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการชาปลายประสาท หรืออาการชาจากปลายประสาทอักเสบจึงถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับการวางแผนพัฒนาสุขภาพเพื่อรู้ถึงสาเหตุที่แน่ชัดและป้องกันการเกิดอาการเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที
อาการชาปลายประสาท แบ่งได้กี่ประเภท?
อย่างที่รู้กันไปแล้วในข้างต้นว่าอาการชาปลายประสาทมักจะมีอาการรวม ๆ ส่วนใหญ่ คืออาการชา, เสียว รวมถึงปวดเหมือนโดนเข็มทิ่ม แต่รู้หรือไม่? ว่าจริง ๆ แล้วอาการชาปลายประสาท จะขึ้นอยู่กับประเภทของเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งนำไปสู่อาการและอาการที่แสดงออกมาแบบเฉพาะ ดังนี้…
- เส้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory nerves)
เส้นประสาทเหล่านี้เชื่อมต่อกับผิวหนังและมีหน้าที่ส่งต่อความรู้สึกต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ, ความเจ็บปวด, การสั่นสะเทือน และการสัมผัส เมื่อเส้นประสาทรับความรู้สึกได้รับผลกระทบจากอาการชาปลายประสาทก็จะมีอาการต่าง ๆ เช่น
– มีอาการชา หรือความรู้สึกลดลงในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
– ปวดคล้ายถูกเข็มแทง
– ปวดแสบปวดร้อน
– ความบกพร่องของการรับรู้อากัปกิริยา
- เส้นประสาทสั่งการ (Motor nerves)
เส้นประสาทเหล่านี้เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อเส้นประสาทสั่งการได้รับผลกระทบจากอาการชาปลายประสาทก็จะมีอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกล้ามเนื้อ เช่น
– กล้ามเนื้ออ่อนแรง
– ตะคริวหรือกล้ามเนื้อกระตุก
– การควบคุมกล้ามเนื้อบกพร่อง ซึ่งนำไปสู่ความยากลำบากในการเดิน หยิบจับสิ่งของ หรือเคลื่อนไหว
– กล้ามเนื้อลีบในรายที่เป็นมาก
- เส้นประสาทอัตโนมัติ (Autonomic nerves)
เส้นประสาทเหล่านี้เชื่อมต่อกับอวัยวะภายในและมีหน้าที่ควบคุมการทำงานอัตโนมัติของร่างกาย รวมถึงความดันโลหิต การขับเหงื่อ อัตราการเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร และการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อเส้นประสาทอัตโนมัติได้รับผลกระทบจากอาการชาจากปลายประสาทอักเสบ ก็จะมีอาการที่เกี่ยวข้องกับบริเวณต่าง ๆ เช่น
– ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
– อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
– ปัญหาทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก
– ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะที่นำไปสู่ภาวะปัสสาวะเล็ดหรือปัสสาวะลำบาก
อาการเฉพาะที่พบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุและความเสียหายของเส้นประสาทที่เกิดขึ้น ดังนั้นการประเมินอาการชาปลายประสาทอย่างครอบคลุมโดยแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยในการระบุประเภท ขอบเขตของอาการชาปลายประสาท และพัฒนาแผนการรักษา รวมถึงการวางแผนพัฒนาสุขภาพที่เหมาะสมได้
อาการชาปลายประสาทร้ายแรงแค่ไหน? แบบไหนต้องรีบพบแพทย์ด่วน
อาการชาปลายประสาทนั้นอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความเสียหายของเส้นประสาท และปัจจัยต่าง ๆ ในแต่ละบุคคล ในบางกรณี อาการชาที่ปลายประสาทอาจไม่รุนแรงและไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก ในขณะที่บางกรณีอาจรุนแรงกว่าและส่งผลกระทบต่อการทำงานและคุณภาพชีวิต ซึ่งอาการชาปลายประสาทแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนนั้น เราได้รวบรวมมาให้แล้วด้านล่างนี้
✔ เกิดอาการชาบ่อยครั้ง หรือต่อเนื่อง
หากมีอาการชาตามแขนขาบ่อย ๆ สม่ำเสมอ เช่น ปลายนิ้วมือ มือ นิ้วเท้า หรือเท้า สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์ เพราะอาการชาแบบต่อเนื่องอาจเป็นสัญญาณความเสียหายของเส้นประสาทที่เกิดขึ้น
✔ เกิดอาการชากระจายไปยังส่วนต่าง ๆ
หากอาการชาค่อย ๆ แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือกระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย อาจบ่งชี้ถึงการลุกลามของอาการชาปลายประสาท โรคปลายประสาทอักเสบ
✔ เกิดอาการชาโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากมีอาการชาโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บหรือกดทับเส้นประสาทที่ไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอื่น ๆ
✔ เกิดอาการชาส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
หากอาการชารบกวนความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเขียน เดิน หรือหยิบจับสิ่งของ อาจจะเกิดจากเส้นประสาทที่มีการเสียหายมากขึ้น
✔ เกิดอาการชาร่วมกับอาการอื่นที่เกี่ยวข้อง
หากมีอาการชาร่วมกับอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปวด รู้สึกเสียว แสบร้อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือภาวะกล้ามเนื้อสูญเสียการประสานสัมพันธ์กัน อาการเพิ่มเติมเหล่านี้อาจให้ความชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของอาการชาปลายประสาท
✔ เกิดอาการชาที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้
หากอาการชาส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้อุณหภูมิ การสัมผัส หรือความเจ็บปวด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แผลไหม้ หรือการบาดแผลโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้นการขอคำแนะนำทางการแพทย์สามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
หากคุณมีอาการเหล่านี้ที่บ่งชี้ว่าเป็นอาการชาปลายประสาท หรือกำลังมีอาการแล้วไม่แน่ใจ ควรเข้ารับคำแนะนำและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยที่เหมาะสมและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษาหรือไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม อาการชาปลายประสาทอาจส่งผลร้ายแรงและนำไปสู่อาการ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่แย่ลง
อาการชาปลายประสาทเกิดจากอะไร?
อาการชาปลายประสาทอาจมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งการทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถวินิจฉัยและการจัดการอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชาปลายประสาท หรือชาตามปลายประสาท ได้แก่…
โรคเบาหวาน
สาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยคือโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อเวลาผ่านไปจะส่งผลให้เกิดความเสียหายของเส้นประสาทและทำให้การทำงานของเส้นประสาทส่วนปลายบกพร่องจนมีอาการชาจากปลายประสาทอักเสบ
2. การติดเชื้อ ไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด
การติดเชื้อสามารถทำให้เกิดอาการชาปลายประสาท เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด เช่น โรคไลม์, งูสวัด, เอชไอวี/เอดส์ และไวรัสตับอักเสบซี สามารถทำลายเส้นประสาทโดยตรง หรือกระตุ้นการตอบสนองภูมิต้านทานผิดปกติที่ส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาท
3. ความผิดปกติของภูมิต้านทานตนเอง
ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิต้านทานตนเอง เช่น โรคลูปัส (Lupus) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE), โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) กลุ่มโรคกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barre Syndrome) รวมถึงโรคเส้นประสาทอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammatory เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันที่โจมตีเส้นประสาทส่วนปลายที่นำไปสู่อาการชาปลายประสาท
4. การได้รับสารพิษและสารเคมี
การสัมผัสกับสารพิษบางชนิดอาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โลหะหนัก (ตะกั่ว ปรอท), สารเคมีประเภทตัวทำละลายที่ใช้ในอุตสาหกรรม และยาเคมีบำบัด อาจทำให้เส้นประสาทถูกทำลายและนำไปสู่โรคปลายประสาทอักเสบได้
5. ปัจจัยทางพันธุกรรมและกรรมพันธุ์
ความผิดปกติที่สืบทอดมาจากพันธุกรรมและกรรมพันธุ์ อย่าง โรคชาร์คอต-มารี-ทูธ (Charcot-Marie-Tooth Disease: CMT) อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายมากขึ้นและเกิดอาการชาปลายประสาท หรืออาการชาจากปลายประสาทอักเสบได้
6. ภาวะขาดสารอาหาร
การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดวิตามิน B12, B6 และ E รวมทั้งไทอามีน มีส่วนทำให้เส้นประสาทถูกทำลายและปลายประสาทอักเสบ
7. การบาดเจ็บจากบาดแผล
ภาวะบาดเจ็บที่กดทับเส้นประสาท จากอุบัติเหตุ หกล้ม หรือการเล่นกีฬา ที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทจากการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ หรือการกดทับเป็นเวลานาน และการบาดเจ็บทางร่างกาย อาจส่งผลให้เส้นประสาทส่วนปลายเสียหายและเกิดโรคปลอกประสาทอักเสบตามมา
8. การใช้ยารักษาบางชนิด
ยาบางชนิด รวมทั้งยาปฏิชีวนะ เช่น ฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) ยากันชัก และยาเคมีบำบัด อาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาเหล่านี้พบกับผลข้างเคียง อย่าง อาการชาปลายประสาท ตามมา
9. โรคพิษสุราเรื้อรัง
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นเวลานานอาจนำไปสู่การขาดสารอาหารและส่งผลเป็นพิษโดยตรงต่อเส้นประสาท ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคเกี่ยวกับระบบประสาท หรือชาตามปลายประสาท
นอกจากนี้ ในบางกรณี อาจไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการชาปลายประสาทถึงแม้จะมีการประเมินทางการแพทย์แล้วก็ตาม เนื่องจากอาจมีปัจจัยของการเกิดอาการหลายอย่างรวมกัน ดังนั้นการวางแผนดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม ด้วยการวางแผนพัฒนาสุขภาพจึงเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดอาการชาปลายประสาท หรืออาการชาจากปลายประสาทอักเสบได้ตั้งแต่ต้น
การวินิจฉัยอาการชาปลายประสาททำได้ด้วยวิธีไหนบ้าง?
สำหรับการวินิจฉัยอาการชาปลายประสาทมักประกอบด้วยการประเมินประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และการตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ ซึ่งขั้นตอนแรกจะมีการซักประวัติโดยแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ การเริ่มมีอาการ การลุกลาม และเงื่อนไขทางการแพทย์อื่น ๆ หรือปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคปลายประสาทอักเสบ หลังจากนั้นก็จะมีการวินิจฉัยแยกไปตามแต่ละวิธี ดังนี้…
✔ การตรวจร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของระบบประสาท
✔ การตรวจการนำกระแสประสาท (Nerve Conduction Study : NCS) เพื่อตรวจสอบว่ามีความเสียหายหรือความผิดปกติในเส้นประสาทส่วนปลายหรือไม่
✔ การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ (Electromyographic Study :EMG) เพื่อระบุความผิดปกติของกล้ามเนื้อและระบุว่าเกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทหรือไม่
✔ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) และเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อตรวจสอบบริเวณที่ได้รับผลกระทบ หาสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการชาปลายประสาท เช่น การกดทับเส้นประสาท เนื้องอก หรือความผิดปกติทางโครงสร้าง
✔ การตรวจเลือด เพื่อระบุสภาวะพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโรคปลายประสาทอักเสบ รวมถึงเบาหวาน การขาดวิตามิน ความผิดปกติของภูมิต้านทาน การติดเชื้อ และพันธุกรรม
✔ การส่งตรวจเส้นประสาท (Nerve Biopsy) เพื่อตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์หาสาเหตุเฉพาะของอาการชาปลายประสาท
อาการชาปลายประสาทรักษาอย่างไรได้บ้าง?
ในส่วนของการรักษาอาการชาปลายประสาท หรืออาการชาจากปลายประสาทอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี โดยแนวทางการรักษาทั่วไปสำหรับบรรเทาอาการจะมี ดังนี้…
✔ ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) กลุ่มโอปิออยด์ หรือยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด
✔ การรักษาเฉพาะที่ ครีม เจล หรือแผ่นแปะที่มียา เช่น ลิโดเคน หรือแคปไซซิน
✔ กายภาพบำบัด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและปรับปรุงการเคลื่อนไหวโดยรวม
✔ การออกกำลังกายและการยืดเหยียด
✔ การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทผ่านทางผิวหนัง (TENS) โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อวัน เป็นระยะเวลา 1 เดือน
✔ การใช้วิธีการรักษาทางเลือก เช่น การฝังเข็ม การนวด โยคะ หรือการทำสมาธิ
✔ การเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง (Plasmapheresis)
✔ การให้อิมมูโนโกลบูลิน (Intravenous immunoglobulin) ยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน
✔ การผ่าตัด กรณีผู้ป่วยมีสาเหตุจากการกดทับเส้นประสาท เช่น การกดทับจากเนื้องอก
สำหรับแนวทางการรักษาอาการชาปลายประสาทอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการเฉพาะที่พบ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับแพทย์เพื่อรับแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ซึ่งการตรวจพบอาการชาจากปลายประสาทอักเสบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถการจัดการภาวะชาที่ปลายประสาทที่เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงทีก่อนที่จะมีอาการแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้น