
ในโลกการทำงานปัจจุบัน ปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานออฟฟิศกำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่มักจะมองข้ามความสำคัญของปัญหาเหล่านี้
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่ทำงานคือการมี “หัวหน้าเป็นพิษ” หรือ Toxic Boss
ที่สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดัน บั่นทอนจิตใจ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน
จากการสำรวจของเว็บไซด์จัดหางานในประเทศไทยในปี 2023 พบว่า 67% ของพนักงานออฟฟิศเคยประสบกับภาวะเครียดสะสมจากการทำงาน โดย 41% ระบุว่าสาเหตุหลักมาจากความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวของผู้ที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวและสามารถก้าวผ่านมาได้ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการรับมือกับหัวหน้าที่เป็นพิษและการดูแลสุขภาพจิตตนเอง
เคสศึกษา: เมื่อที่ทำงานกลายเป็นบ่อทำลายสุขภาพจิต
กรณีของสุภาพร (นามสมมติ) – การทำงานภายใต้หัวหน้าที่ชอบคุกคามทางวาจา
สุภาพร อายุ 28 ปี ทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังย่านอโศกมาเป็นเวลา 3 ปี เธอเริ่มงานด้วยความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความหวัง แต่หลังจากเปลี่ยนหัวหน้าทีมใหม่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“หัวหน้าคนใหม่ชอบพูดจาเหยียดหยามพนักงาน มักจะติดตามงานด้วยการตะคอกใส่ ไม่เคยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ แต่กลับชอบจับผิดและประจานต่อหน้าคนอื่น” สุภาพรเล่า “ทุกครั้งที่มีประชุมทีม ฉันจะรู้สึกกลัวและวิตกกังวลจนนอนไม่หลับในคืนก่อนหน้า”
หลังจากทำงานภายใต้สภาวะกดดันเช่นนี้เป็นเวลา 8 เดือน สุภาพรเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และรู้สึกหมดเรี่ยวแรงในการทำสิ่งต่างๆ จนในที่สุดแพทย์วินิจฉัยว่าเธอมีภาวะซึมเศร้า
กรณีของธนา (นามสมมติ) – เมื่อหัวหน้าสร้างวัฒนธรรม Overwork
ธนา อายุ 32 ปี ทำงานในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล แม้จะเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและเงินเดือนสูง แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือการทำงานภายใต้หัวหน้าที่สร้างวัฒนธรรม “อยู่ดึกกว่าหัวหน้า”
“หัวหน้าผมจะส่งอีเมลหรือแชทงานตอนเที่ยงคืน และคาดหวังให้ตอบทันที มีการประชุมนอกเวลาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และมักพูดประโยคเดิมๆ ว่า ‘คนอื่นเขาก็ทำได้ ทำไมคุณทำไม่ได้'” ธนาเล่า
สถานการณ์ดำเนินไปจนธนาเริ่มมีอาการวิตกกังวล มีอาการใจสั่น หายใจไม่ออกเวลาที่ต้องเข้าออฟฟิศ และในที่สุดก็ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะ Burnout และซึมเศร้า ต้องลาพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน
เมื่อ “หัวหน้าเป็นพิษ” กลายเป็นโรคระบาดในออฟฟิศไทย
จากการสำรวจของหลายหน่วยงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานในไทย พบว่า
ปัญหาการบริหารงานแบบ “เผด็จการ” ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในองค์กรไทยหลายแห่ง
โดยเฉพาะในองค์กรที่มีโครงสร้างแบบดั้งเดิม พฤติกรรมของหัวหน้าที่เป็นพิษมักปรากฏในรูปแบบต่างๆ ดังนี้:
- การคุกคามทางวาจา – การพูดจาดูถูก เหยียดหยาม ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ
- การกลั่นแกล้ง – การจับผิด ให้งานที่เกินความสามารถ หรือตั้งใจมอบหมายงานที่ไม่มีคุณค่า
- การสร้างวัฒนธรรม Overwork – การคาดหวังให้พนักงานทำงานนอกเวลาโดยไม่มีค่าตอบแทนที่เหมาะสม
- การไม่ให้เกียรติ – การละเมิดพื้นที่ส่วนตัว ไม่รับฟังความคิดเห็น หรือแอบอ้างผลงานของลูกน้อง
- การใช้อำนาจในทางมิชอบ – การเล่นพวก เลือกปฏิบัติ หรือคุกคามพนักงาน
สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังตกอยู่ในวังวนของ
อ้างอิงจากงานวิจัยของ World Health Organization (WHO) ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีผลต่อสุขภาพจิต สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าคุณอาจกำลังทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ได้แก่:
- รู้สึกกังวลทุกครั้งเมื่อต้องไปทำงานหรือพบหัวหน้า
- มีอาการทางกายเช่น ปวดหัว ปวดท้อง นอนไม่หลับโดยไม่มีสาเหตุทางการแพทย์
- ขาดแรงจูงใจและความกระตือรือร้นในการทำงาน
- แยกตัวจากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง
- รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองและความสามารถของตน
- มีความคิดลาออกอยู่เสมอแต่ไม่กล้าตัดสินใจ
จากผู้รอดชีวิตสู่ผู้เติบโต: แนวทางการจัดการกับ Toxic Boss
1. รู้จักตั้งขอบเขตที่ชัดเจน (Set Clear Boundaries)
สุภาพรเล่าว่า สิ่งที่ช่วยเธอมากที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะตั้งขอบเขตในการทำงาน “ฉันเริ่มปฏิเสธการติดต่องานหลังเวลาทำงาน และชัดเจนกับงานที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบของฉัน” เธอกล่าว “มันไม่ง่าย และฉันต้องเผชิญกับปฏิกิริยาที่ไม่พอใจจากหัวหน้า แต่ในระยะยาวมันช่วยให้ฉันรักษาสุขภาพจิตของตัวเองได้”
2. สร้างเครือข่ายสนับสนุนในที่ทำงาน
“การมีเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจและคอยให้กำลังใจกันเป็นสิ่งสำคัญมาก” ธนาเล่า “เราสร้างกลุ่มเล็กๆ ที่คอยช่วยเหลือและรับฟังกันเวลาที่มีปัญหา ซึ่งช่วยให้รู้สึกว่าไม่ได้เผชิญกับสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง”
3. บันทึกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
การจดบันทึกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของหัวหน้าอย่างเป็นระบบ ทั้งวันเวลา สถานที่ และบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ จะเป็นหลักฐานสำคัญหากต้องรายงานต่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือผู้บริหารระดับสูง
4. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
“การไปพบจิตแพทย์และได้รับการบำบัดอย่างต่อเนื่องช่วยให้ฉันมีเครื่องมือในการจัดการกับความเครียดและภาวะซึมเศร้า” สุภาพรกล่าว “หลายคนกลัวการถูกตีตราว่าเป็น ‘โรคจิต’ แต่จริงๆ แล้วการดูแลสุขภาพจิตก็สำคัญไม่ต่างจากการดูแลสุขภาพกาย”
5. พิจารณาทางเลือกในการเปลี่ยนงาน
บางครั้งการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกายมากเกินกว่าจะแก้ไขได้ ธนาตัดสินใจลาออกหลังจากพยายามทุกวิถีทางแล้ว “การตัดสินใจลาออกเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อคิดถึงสุขภาพในระยะยาว ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” เขากล่าว
การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กร: สร้างวัฒนธรรมที่ใส่ใจสุขภาพจิต
บริษัทที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานจะมีการดำเนินการหลายประการ เช่น:
- จัดอบรมให้ผู้บริหารและหัวหน้างาน เกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงบวกและการบริหารทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ที่เป็นความลับและปลอดภัยสำหรับพนักงาน
- จัดให้มีนักจิตวิทยาประจำองค์กร หรือบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance)
- ประเมินความพึงพอใจของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และนำผลมาปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน
บทสรุป: จากผู้รอดชีวิตสู่ผู้เติบโต
ทั้งสุภาพรและธนาผ่านประสบการณ์การทำงานกับหัวหน้าที่เป็นพิษและภาวะซึมเศร้าที่ตามมา แต่ในวันนี้ทั้งคู่ได้ก้าวข้ามความท้าทายเหล่านั้นและเติบโตขึ้น
สุภาพรตัดสินใจย้ายไปทำงานในบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีกว่า และกลายเป็นนักรณรงค์ด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน ส่วนธนาใช้ประสบการณ์ของตนเองเริ่มต้นธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพจิต
การทำงานภายใต้หัวหน้าที่เป็นพิษอาจเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่เมื่อเรารู้จักดูแลตัวเองและมีกลยุทธ์ในการรับมือที่เหมาะสม เราสามารถไม่เพียงแค่รอดชีวิต แต่ยังเติบโตและเข้มแข็งขึ้นจากประสบการณ์นั้นได้
เอกสารอ้างอิง
1. Siriwanarangsan, P., Liknapichitkul, D., Kessomboon, N., et al. (2004). Prevalence of mental disorders in Thailand: A national survey. Department of Mental Health, Ministry of Public Health, Thailand.
2. Schyns, B., & Schilling, J. (2013). How bad are the effects of bad leaders? A meta-analysis of destructive leadership and its outcomes. The Leadership Quarterly, 24(1), 138-158.
3. World Health Organization. (2022). Mental health at work. WHO Fact Sheet. Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/mental-disorders
4. Tepper, B. J. (2007). Abusive supervision in work organizations: Review, synthesis, and research agenda. Journal of Management, 33(3), 261-289.
5. Kelloway, E. K., Sivanathan, N., Francis, L., & Barling, J. (2005). Poor leadership and workplace aggression. Journal of Organizational Behavior, 26(4), 439-452.