เมื่อผู้รักษาต้องถูกรักษา
ในโรงพยาบาลชั้นนำแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา แพทย์สาวอายุ 21 ปี เพิ่งเริ่มต้นเรียนแพทย์ได้ไม่นาน ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชีวิตที่เคยยืนอยู่ฝั่งผู้รักษา ต้องข้ามมาเป็นผู้ป่วยในชั่วข้ามคืน เธอบอกว่า “หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัย คุณจะไม่สามารถพูดคุยอะไรที่มีความหมายได้เลย เพราะคุณยังอยู่ในภาวะช็อก” ประสบการณ์นี้ทำให้เธอเข้าใจว่าความวิตกกังวลมีผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งที่ผู้ป่วยได้ยินและเข้าใจ
อีกคนหนึ่งเป็นศัลยแพทย์ชายที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง ปี 2007 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซาร์โคมา (มะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่ออ่อน) พร้อมกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ ระหว่างการรักษา เขาประสบกับอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง แต่เมื่อดูในเวชระเบียนของเขาจะไม่พบการบันทึกเรื่องนี้เลย เพราะเขาไม่เคยบอกแพทย์ผู้รักษา สาเหตุเพราะเขากังวลเรื่องการสูญเสียรสชาติมากกว่า ประสบการณ์นี้เปลี่ยนวิธีการที่เขาถามผู้ป่วยเกี่ยวกับผลข้างเคียง “ตอนนี้ฉันจะถามผู้ป่วยให้บอกผลข้างเคียง 3 อันดับแรกที่พวกเขากังวลที่สุด ไม่ใช่ที่รุนแรงที่สุด” เขากล่าว
และยังมีแพทย์รังสีวินิจฉัยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมในปี 2011 เธอบอกว่า “ฉันไม่คิดว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าผู้ป่วยต้องผ่านอะไรบ้าง จนกระทั่งฉันต้องรับการรักษาด้วยตนเอง การสูญเสียเส้นผมมันเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และร่างกาย มันเจ็บจริงๆ เมื่อผมหลุดร่วง ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ฉันยังไม่รู้ด้วยว่าอาการคลื่นไส้เป็นปัญหาใหญ่แค่ไหน และจำเป็นแค่ไหนที่ต้องจัดการกับผลข้างเคียงเหล่านี้”
การเดินทางสู่ความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง
การศึกษาเชิงคุณภาพที่เปรียบเทียบระหว่างแพทย์ที่เป็นมะเร็งกับผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ แต่มีระดับการศึกษาและบทบาทอาชีพที่ใกล้เคียงกัน พบว่าแพทย์มีการปรับตัวที่แตกต่างออกไป แพทย์ติดนิสัยที่จะเชื่อมโยงความเจ็บป่วยกับผู้ป่วย ไม่ใช่กับตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ประสบการณ์การเจ็บป่วยส่วนตัวนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับการเป็นผู้ป่วย และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในการปฏิบัติงานทางคลินิกในภายหลัง อันเป็นผลมาจากความเห็นอกเห็นใจที่ค้นพบใหม่ ประสบการณ์ที่ทับซ้อนกันระหว่างการเป็นผู้ทำงานด้านสุขภาพและการเป็นผู้ป่วย ช่วยสร้างหรือพัฒนากลยุทธ์เพื่อการดูแลผู้ป่วยที่ดีขึ้น
พลังของความเห็นอกเห็นใจในการรักษา
งานวิจัยด้านการสื่อสารทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า ความเห็นอกเห็นใจของแพทย์มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลลัพธ์ของผู้ป่วยมะเร็ง เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่าแพทย์มีความเห็นอกเห็นใจ พวกเขามีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแผนการรักษามากขึ้น มีความพึงพอใจมากขึ้น และมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งมีแพทย์ที่แสดงความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะควบคุมโรคได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แพทย์ที่แสดงความเห็นอกเห็นใจยังมีแนวโน้มที่จะถูกฟ้องร้องน้อยกว่า และการแสดงความเห็นอกเห็นใจไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากนัก สิ่งเรียบง่ายๆ เช่น การยิ้ม การแนะนำตัว การสังเกตสภาวะอารมณ์ของผู้ป่วย การนั่งในระดับสายตาเดียวกัน และการรักษาการสบตาขณะฟังคำบ่นของผู้ป่วย ล้วนมีคุณค่า
บทเรียนที่ได้จากอีกฟากฝั่ง
แพทย์ที่เคยเป็นผู้ป่วยมะเร็งบอกว่า ประสบการณ์นี้เปลี่ยนวิธีที่พวกเขาใช้ภาษา แพทย์รังสีวินิจฉัยคนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันระมัดระวังมากขึ้นในการเขียนรายงาน ในการเลือกคำพูด” เธอเข้าใจว่าคำพูดเดียวกันอาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยอย่างไร
การศึกษาเชิงคุณภาพอีกชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า แพทย์ที่ผ่านประสบการณ์การเจ็บป่วยมักจะมีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากทางอารมณ์ การรักษาความเป็นส่วนตัว และความต้องการการสนับสนุนเมื่อกลับมาทำงาน การเข้าใจความต้องการเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันได้

ความเห็นอกเห็นใจ: ทักษะที่ฝึกฝนได้
สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ การวิจัยชี้ให้เห็นว่าความเห็นอกเห็นใจเป็นทักษะที่สอนและเรียนรู้ได้ แม้แต่แพทย์ที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีความเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติ หรือคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็สามารถพัฒนาได้ การฝึกอบรมพบว่า แพทย์ที่ได้รับการอบรมสามารถรับมือกับผู้ป่วยได้ดีขึ้น พวกเขาขัดจังหวะผู้ป่วยน้อยลง รักษาการสบตาได้ดีขึ้น และสามารถรักษาความสงบได้ดีขึ้นเมื่อผู้ป่วยโกรธ หงุดหงิด หรือหงุดหงิด
ที่น่าสนใจคือ การฝึกอบรมความเห็นอกเห็นใจทำให้แพทย์มีความต้านทานต่อความเหนื่อยหน่ายจากความเมตตาและการหมดไฟในการทำงานมากขึ้น ความเชื่อเก่าๆ ในวงการแพทย์ที่ว่าการแยกตัวและความเป็นกลางจะปกป้องแพทย์จากการหมดไฟนั้น การวิจัยกลับชี้ให้เห็นว่า การแยกตัวมากเกินไป ความเป็นกลางมากเกิน การหลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงทางอารมณ์อาจกลายเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่าย และทำให้สูญเสียความพึงพอใจในการเป็นผู้รักษา
กุญแจสู่ความสมดุล
หนึ่งในกุญแจสำคัญในการหลีกเลี่ยงการหมดไฟคือการสร้างสมดุลระหว่างการแยกตัวและความเห็นอกเห็นใจ เป็นการยืนในรองเท้าของผู้ป่วย แต่ก็ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่และอย่างไรที่จะถอนตัวออกมาก่อนที่จะติดอยู่ในนั้น
แพทย์ที่เคยเป็นผู้ป่วยมะเร็งทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประสบการณ์นี้ทำให้พวกเขาเป็นแพทย์ที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะความรู้ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น แต่เพราะพวกเขาเข้าใจผู้ป่วยในระดับที่ลึกซึ้งกว่า พวกเขาเรียนรู้ว่าผู้ป่วยไม่ได้ต้องการเพียงแค่การรักษาที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ต้องการความเข้าใจ การรับฟัง และการดูแลที่เกินกว่าตัวเลขในเวชระเบียน
Second Genesis: การเกิดใหม่
“Second Genesis” หรือ “การเกิดใหม่ครั้งที่สอง” เป็นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแพทย์เหล่านี้ พวกเขาไม่ได้แค่รอดชีวิตจากมะเร็ง แต่ได้กลับมาเกิดใหม่ในฐานะผู้รักษาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พวกเขาได้เรียนรู้บทเรียนที่ไม่มีตำราและห้องเรียนใดสามารถสอนได้ นั่นคือ ความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง
บทเรียนสำคัญที่พวกเขาได้เรียนรู้คือ:
1. ฟังสิ่งที่ผู้ป่วยไม่ได้พูด – อาการที่ผู้ป่วยกังวลที่สุดอาจไม่ใช่อาการที่รุนแรงที่สุด การถามอย่างเปิดใจและรับฟังอย่างลึกซึ้งสำคัญกว่าการเช็กลิสต์
2. เข้าใจพลังของคำพูด – คำพูดเดียวกันอาจมีความหมายต่างกันสำหรับแต่ละคน ความระมัดระวังในการใช้ภาษาสามารถลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้
3. จัดการกับผลข้างเคียงอย่างจริงจัง – สิ่งที่ดูเล็กน้อยสำหรับแพทย์อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ป่วย การจัดการผลข้างเคียงอย่างเหมาะสมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
4. ให้เวลากับความช็อก – ผู้ป่วยต้องการเวลาในการประมวลผลข่าวร้าย การรอให้พวกเขาพร้อมก่อนอธิบายรายละเอียดจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจและตัดสินใจได้ดีขึ้น
5. รักษาความเป็นมนุษย์ – แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รักษาและผู้ป่วยยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลที่มีคุณภาพ
บทสรุป: แรงบันดาลใจสำหรับทุกคน
เรื่องราวของแพทย์ที่กลายเป็นผู้ป่วยและกลับมารักษาผู้อื่นด้วยมุมมองใหม่ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของแพทย์เท่านั้น มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ไม่ว่าเราจะอยู่ในอาชีพใด เมื่อเราเคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากแบบเดียวกัน เราจะเข้าใจประสบการณ์นั้นได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ความทุกข์ยากที่เราเผชิญอาจกลายเป็นของขวัญที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นมืออาชีพที่ดีกว่า และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แพทย์เหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า บางครั้ง เราต้องสูญเสียบางอย่างเพื่อได้รับสิ่งที่มีค่ามากกว่า นั่นคือความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง และความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
Second Genesis ไม่ได้หมายถึงการเริ่มต้นใหม่เท่านั้น แต่หมายถึงการเริ่มต้นที่ดีกว่า ด้วยภูมิปัญญาที่ได้มาจากประสบการณ์ ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างกว่า และด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า สำหรับแพทย์เหล่านี้ มะเร็งไม่ได้เป็นแค่ศัตรูที่พวกเขาต้องเอาชนะ แต่เป็นครูที่สอนบทเรียนอันล้ำค่าที่สุดในชีวิต
แหล่งอ้างอิง
- MD Anderson Cancer Center. (2016). “When a doctor becomes a cancer patient” https://www.mdanderson.org/cancerwise/doctor-becomes-cancer-patient.h00-159070290.html
- Cipolletta, S., et al. (2024). “Understanding the User’s Point of View: When the Doctor Gets Sick with Cancer and Seeks Help” BMC Health Services Research https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC10758133/
- American Medical Association. (2023). “10 physician memoirs that offer inspiring accounts of life in medicine” https://www.ama-assn.org/medical-students/specialty-profiles/10-physician-memoirs-offer-inspiring-accounts-life-medicine
- NORCAL Group. “Empathy Benefits Both Physicians and Patients: Case Studies and Best Practices” https://www.norcal-group.com/library/empathy-benefits-both-physicians-and-patients-case-studies-and-best-practices
- Derksen, F., et al. (2013). “Effectiveness of empathy in general practice: a systematic review” British Journal of General Practice https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC3529296/
- Lelorain, S., et al. (2023). “The association of physician empathy with cancer patient outcomes: A meta-analysis” Patient Education and Counseling
- American Osteopathic Association. (2025). “Empathy in Medicine” https://osteopathic.org/practicing-medicine/providing-care/empathy/