รู้ทันก่อนเสี่ยง ไวรัสตับอักเสบเกิดจาก

Cancer / Health

ชวนทำความรู้จัก ต้นเหตุโรคมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบเกิดจากไหน

ไวรัสตับอักเสบเกิดจากสาเหตุใด? เป็นคำถามที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงไวรัสตับอักเสบเกิดจากอะไร? เป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ นอกจากไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่สาธารณสุขทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ไวรัสตับอักเสบบางชนิดยังทำให้เกิดตับอักเสบ ตับแข็ง หรือเป็นสาเหตุของมะเร็งตับได้อีกด้วย ในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักไวรัสตับอักเสบสาเหตุมาจากอะไร มีกี่ประเภท และเมื่อตับติดเชื้อเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม สามารถรักษาได้หรือไม่? มาดูคำตอบกัน

ไวรัสตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับผ่านการสัมผัส อย่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน ได้รับสารคัดหลั่งหรือเลือดจากผู้ที่เป็นพาหะ ใช้ของร่วมกันกับผู้ที่เป็นพาหะ หรือได้รับการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก เนื่องจากอาการของคนเป็นพาหะหรือมีเชื้อไวรัสตับอักเสบจะไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นพาหะหรือป่วยเป็นตับติดเชื้อเกิดจากเชื้อไวรัสบ้าง ฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุมะเร็งตับ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกับผู้อื่นถือเป็นวิธีป้องกันตัวเบื้องต้นที่ดีที่สุด

เพื่อลดโอกาสไวรัสตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัสพัฒนาไปเป็นโรคมะเร็งตับ จนต้องมาเช็กข้อมูลมะเร็งตับมีกี่ระยะ เพื่อค้นหาวิธีดูแลตัวเองในอนาคต ควรรู้ก่อนว่าไวรัสตับอักเสบมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี และอี โดยแต่ละชนิดจะมีลักษณะการติดต่อและอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)

เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ เป็นไวรัสตับอักเสบเกิดจากการทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไป เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-6 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยเด็กมักมีอาการน้อย ต่างจากผู้ใหญ่ที่อาการตับอักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงและชัดเจนกว่า นั่นคือมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง เป็นต้น

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับที่พบมากที่สุดในประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแล้ว แต่จากข้อมูลในแผนยุทธศาสตร์กำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ พ.ศ. 2565-2573 กรมควบคุมโรค ได้คาดการณ์ว่าในประเทศไทยจะพบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังประมาณ 2.2-3 ล้านคน การรู้วิธีติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีช่วยให้ทุกคนดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ โดยไวรัสตับอักเสบบีแพร่เชื้อผ่านช่องทางต่อไปนี้

  • ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากแม่สู่ลูก 
  • ติดต่อทางเลือด เช่น ได้รับเลือดของผู้ที่เป็นพาหะ, ใช้เข็มฉีดยาเข้าเส้น, การสักลาย, เจาะหู หรือใช้ของมีคมร่วมกัน เป็นต้น

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C)

ไวรัสตับอักเสบซีเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของอาการตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี และอาการป่วยมีความคล้ายคลึงไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเพื่อลดโอกาสเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดนี้ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ใช้เข็มฉีดยาซ้ำหรือใช้ร่วมกัน รวมถึงการใช้อุปกรณ์สำหรับสูบหรือเสพสารเสพติด

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D)

ไวรัสตับอักเสบดีมีลักษณะการติดเชื้อหรือแพร่กระจายคล้ายกับไวรัสตับอักเสบเอ นั่นคือติดเชื้อจากเลือดที่มีเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์ การกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนไวรัส ฉะนั้นเพื่อลดโอกาสเจ็บป่วยเพราะเชื้อไวรัสตับอักเสบดี ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงตามที่กล่าวมา

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E)

เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ไม่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง เพราะเมื่อร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อแล้วก็จะหายเป็นปกติ ซึ่งการแพร่เชื้อของโรคไวรัสตับอักเสบอี มักมาจากการกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส หรือการสัมผัสถูกอุจจาระที่มีเชื้อโรคปนอยู่

แม้ปัจจุบันจะรู้ว่าไวรัสตับอักเสบเกิดจากอะไร? แต่ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง หรือวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบที่ครอบคลุมทั้ง 5 ชนิด ทำให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบต้องรับการรักษาตามอาการ เช่น การพักผ่อนมาก ๆ ในช่วงที่มีอาการอ่อนเพลีย กินอาหารให้พอเพียง โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง งดแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาพาราเซตามอล เป็นต้น โดยผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดจะมีโอกาสหายป่วยแตกต่างกัน ดังนี้

  • ไวรัสตับอักเสบเอและอี เมื่อรักษาจนหายขาด ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันโรคทำให้ไม่เป็นซ้ำ แต่ถ้าผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเป็นหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสแท้งบุตรและเสียชีวิตสูง
  • ไวรัสตับอักเสบบี มักพบอาการป่วยในระยะเฉียบพลันซึ่งมีโอกาสหายขาดได้เอง แต่ผู้ติดเชื้อมีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งบางรายอาจนำไปสู่การเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ
  • ไวรัสตับอักเสบซี ผลการรักษาขึ้นกับชนิดของไวรัสตับอักเสบซีแต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจจะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด

เมื่อพิจารณาอาการป่วยไวรัสตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัส ทั้ง 5 ชนิด ประกอบด้วย ไวรัสตับอักเสบเอ, บี, ซี, ดี และอี พบว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี มีความเสี่ยงเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ตับทีละน้อยจนเกิดภาวะตับแข็งและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งตับ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยตับแข็งและมะเร็งตับมักไม่มีอาการในระยะแรก ทำให้กว่าจะตรวจพบก็เป็นมากหรือลุกลามไปเยอะแล้ว ดังนั้นเมื่อหายป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ เพื่อค้นหาความผิดปกติต่าง ๆ ของตับ

อย่างที่บอกผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบมักจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยไวรัสตับอักเสบ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่ถ้าผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง เช่น

  • อ่อนเพลีย
  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • เบื่ออาหาร
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • ปวดเมื่อยตามตัว
  • มีภาวะตัวเหลืองหรือดีซ่าน

แสดงว่าคุณกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด และเพื่อให้การรักษาอาการป่วยไวรัสตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัสเป็นไปอย่างรวดเร็ว ควรปฏิบัติตัวดังนี้

  • ควรพักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง 
  • ไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อตรวจเลือด เช็กประสิทธิภาพการทำงานของตับเป็นระยะ ๆ
  • สามารถออกกำลังกายแบบเบา ๆ ได้ 
  • หากมียารักษาโรคประจำตัว ควรขอคำปรึกษาแพทย์ว่าทานได้หรือไม่
  • สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ 
  • ก่อนผ่าตัดหรือทำฟัน ควรแจ้งแพทย์ทราบเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • แนะนำให้คนใกล้ชิดและคนในครอบครัวเข้ารับการตรวจเลือดและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี

วิธีดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี, ซี, ดี และอีนั้นมีหลากหลายวิธีด้วยกัน และทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็น…

  • การดูแลอนามัยส่วนบุคคล เช่น ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหารหรือหลังขับถ่าย รวมถึงทานอาหารที่สุก และดื่มน้ำที่สะอาด เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
  • หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเช็กความผิดปกติของตับ

จะเห็นได้ว่าแม้ป่วยไวรัสตับอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัสมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคตับอื่น ๆ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งตับ ดังนั้นนอกจากการหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี มีสุขอนามัยที่ดี มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การที่รู้ไว้ว่าไวรัสตับอักเสบเกิดจากอะไรหรือตับติดเชื้อเกิดจากสาเหตุอะไร? ช่วยให้คุณสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นว่าเสี่ยงเป็นไวรัสตับอักเสบสาเหตุจากเชื้อไวรัสหรือไม่ เพราะยิ่งรู้ตัวเร็วเท่าไหร่ก็จะรักษาได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง