มะเร็งตับมีกี่ระยะ การทำความเข้าใจว่าโรคมะเร็งตับมีกี่ระยะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา เนื่องจากมะเร็งตับ หรือที่เรียกกันว่ามะเร็งเซลล์ตับ (HCC) นั้น เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากที่สุดในเพศชาย ทั้งยังเป็นมะเร็งที่ลุกลามได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งหากตรวจเจอช้าก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจมีการรักษาด้วยยาเพื่อช่วยให้อาการของโรค มะเร็งตับระยะแพร่กระจายทุเลาลงแทน เนื่องจากผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่เป็นมะเร็งตับมากแล้วจะไม่สามารถใช้วิธีการรักษาโดยการผ่าตัดได้นั่นเอง
ดังนั้น การที่เรารู้ว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะและรู้ว่าอาการของมะเร็งตับแต่ละระยะมีอาการไหนบ้าง จะช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับโรค ขอบเขต ความรุนแรงและรับมือกับโรคมะเร็งตับได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้หากเรารู้จักหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็อาจช่วยให้เราห่างไกลจากโรคมะเร็งตับได้อีกด้วย
มะเร็งตับมีกี่ระยะ ระยะไหนมีอาการอย่างไรบ้าง?
การตรวจหาว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน เนื่องจากอาการของมะเร็งตับในแต่ละระยะจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตและความรุนแรงของมะเร็งภายในตับและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งการตรวจหาว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะนี้จะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งตับได้อย่างแม่นยำ โดยอาการของโรคมะเร็งตับอาจเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือหายไปในระยะแรก และมักซ้อนทับกับอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตับ เช่น ดีซ่าน ท้องบวมขึ้น หรือมีน้ำในช่องท้อง เป็นต้น
โดยเกณฑ์ในการแบ่งว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะจะช่วยแยกแยะระหว่างความผิดปกติของตับที่ไม่ร้ายแรง เนื้องอก เนื้อร้าย ป้องกันการวินิจฉัยผิดพลาด และช่วยให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก นอกเหนือจากการวินิจฉัยแล้ว เกณฑ์การแบ่งระยะของมะเร็งตับยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการคาดการณ์โรคของผู้ป่วยมะเร็งตับได้อีกด้วย เพราะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ป่วยเข้าใจถึงแนวโน้มการลุกลามของโรค หรือการที่มะเร็งตับระยะแพร่กระจายได้มากยิ่งขึ้น การเข้าใจว่าโรคมะเร็งตับมีกี่ระยะไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกของการรักษา แต่ยังช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคลได้อีกด้วย
สำหรับข้อสงสัยที่ว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะ จริง ๆ แล้วมีเกณฑ์ในการแบ่งระยะที่หลากหลายมาก ๆ แต่ในปัจจุบันเกณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแบ่งว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะนั้น ก็คือ Barcelona-Clinic Liver Cancer (BCLC) ซึ่งเป็นการแบ่งระยะของมะเร็งตับที่พิจารณาตามความรุนแรงของโรคจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น จำนวน ขนาด และการลุกลามของมะเร็ง โดยระยะของมะเร็งตับจาก BCLC จะแบ่งได้ 5 ระยะ ดังนี้
ระยะ 0 (Very Early)
ก้อนเนื้อมะเร็งมีก้อนเดียว ขนาดน้อยกว่า 2 ซม. ไม่มีการลุกลามของก้อนมะเร็งและไม่มีความผิดปกติของตับ โดยทั่วไป การวินิจฉัยในระยะนี้จะใช้วิธีการ…
- การอัลตราซาวนด์ดูตับ
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก MRI
- บางกรณีมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจยืนยันลักษณะของเนื้องอก หรือก้อนมะเร็ง
- แนวทางการรักษาระยะ 0 (Very Early)
ในระยะ 0 นี้ยังรักษาให้หายได้ เนื่องจากเป็นระยะแรกเริ่มจึงยังไม่ได้มีมะเร็งตับระยะแพร่กระจาย ซึ่งตัวเลือกการรักษาหลัก ๆ มักจะเป็นการผ่าตัด หรือการปลูกถ่ายตับ เนื่องจากมะเร็งจำกัดอยู่ในบริเวณเล็ก ๆ ของตับ การรักษาเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดก้อนเนื้อมะเร็งออกอย่างสมบูรณ์ และอาจมีการใช้แนวทางการรักษามะเร็งด้วยคลื่นความถี่สูง Radiofrequency Ablation (RF) ในบางกรณี
ระยะ A (Early)
อาจมีก้อนเนื้อมะเร็ง 1-3 ก้อน แต่ละก้อนมีขนาดน้อยกว่า 3 ซม. ตับยังคงทำงานได้ดีอยู่ ไม่มีการลุกลาม ไม่มีการกระจายนอกตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักวินิจฉัยด้วยการ…
- อัลตราซาวนด์
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก MRI การตัดชิ้นเนื้อ การใช้ผลลัพธ์ของภาพจากวิธีต่าง ๆ ผสมผสานกับการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจหาเนื้องอก ประเมินขนาด ตำแหน่งของเนื้องอก และตรวจสอบว่ามีก้อนมะเร็งหลายก้อนหรือมีเพียงก้อนเดียว
- แนวทางการรักษาระยะ A (Early)
สำหรับแนวทางการรักษาในระยะ A นี้ มักจะใช้การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออก การปลูกถ่ายตับ หรือการรักษาเฉพาะที่ อย่างการใช้คลื่นวิทยุทำลายเนื้องอกที่ตับ Radiofrequency Ablation (RFA) วิธีการเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดหรือทำลายก้อนเนื้อมะเร็งในขณะเดียวกันก็ยังเป็นแนวทางในการรักษาที่สามารถรักษาตับให้ปกติแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และอาจพิจารณาการให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านทางหลอดเลือดแดงเข้าสู่ตับ Transarterial Chemoembolization (TACE) สำหรับผู้ป่วยบางรายเพื่อลดขนาดก้อนเนื้อมะเร็ง หรือเนื้องอกก่อนการผ่าตัด
ระยะ B (Intermediate)
มีก้อนเนื้อมะเร็งหลายก้อนที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ซม. หรือมีขนาดใหญ่กว่าระยะ A ไม่มีการลุกลามที่มะเร็งตับระยะแพร่กระจายเข้าหลอดเลือดดำ หรือกระจายนอกตับ ซึ่งในระยะนี้หลอดเลือดดำ หรือกระจายนอกตับ การทำงานของตับยังดีอยู่ สำหรับการวินิจฉัยส่วนใหญ่จะใช้วิธีการ…
- ตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อทดสอบภาพเบื้องต้นในการตรวจหาความผิดปกติของตับ
- ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan เพื่อระบุขนาด จำนวน และตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็ง
- ถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก MRI เพื่อตรวจหาระยะของก้อนเนื้อมะเร็งตับ
- แนวทางการรักษาระยะ B (Intermediate)
แนวทางการรักษาของระยะ B ก็มีหลากหลายแนวทาง อาจรวมถึงการผ่าตัด การปลูกถ่ายตับร่วมกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขอบเขตและตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็ง นอกจากนี้ ยังมีการรักษาเฉพาะที่ เช่น การใช้คลื่นวิทยุทำลายเนื้องอกที่ตับ Radiofrequency Ablation (RFA) หรือการให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านทางหลอดเลือดแดงเข้าสู่ตับ Transarterial Chemoembolization (TACE) รวมถึงการรักษามะเร็งตับด้วยการฉีดสารกัมมันตภาพรังสี Radioembolization หรือการทดสอบอัลฟ่าฟีโตโปรตีนในเลือด Alpha-fetoprotein blood (AFP) เป็นต้น
ระยะ C (Advanced)
ไม่จำกัดขนาดและจำนวนของก้อนเนื้อมะเร็ง เป็นมะเร็งตับระยะแพร่กระจายที่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง มีการลุกลามเข้าหลอดเลือดดำในท้องและอาจลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงอื่น ๆ มักจะมีการวินิจฉัยในด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan
- ถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก MRI
- ตรวจ PET Scan ถ่ายภาพรังสีในร่างกาย
- ฉีดสีเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ Angiography
- ตรวจชิ้นเนื้อ
- ตรวจเลือดและทดสอบการทำงานของตับ
- แนวทางการรักษาระยะ C (Advanced)
การรักษามะเร็งตับระยะ C มักเกี่ยวข้องกับการรักษาแบบ Systemic Therapy เช่น เคมีบำบัด การฉายรังสี การให้ยาแบบมุ่งเป้า หรือการให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการลุกลามของโรคและการจัดการอาการ ในบางกรณี อาจใช้การบำบัดเฉพาะบริเวณทำเคมีบำบัดโดยวิธี Transarterial Chemoembolization (TACE) รวมถึงอาจมีการดูแลรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งการปลูกถ่ายตับจะไม่ได้ผลในระยะนี้ เนื่องจากเป็นมะเร็งตับระยะแพร่กระจายที่ลุกลามไปไกลแล้ว
ระยะ D (Terminal)
ไม่จำกัดขนาดและจำนวนของก้อนเนื้อมะเร็ง มีการลุกลามเข้าหลอดเลือดดำในท้อง กระจายไปนอกตับและอวัยวะอื่น ๆ มะเร็งตับระยะแพร่กระจายนี้จะส่งผลให้การทำงานของตับแย่ลงมาก ไม่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายตับ เปลี่ยนตับได้ สภาพร่างกายย่ำแย่ ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ มักวินิจฉัยด้วย…
- เทคนิคการถ่ายภาพตับขั้นสูง เช่น ตรวจเอกซเรย์ CT Scan หรือถ่ายภาพ MRI รวมถึงตรวจ PET Scan
- ตรวจชิ้นเนื้อ
- ตรวจเลือดและทดสอบการทำงานของตับ
- แนวทางการรักษาระยะ D (Terminal)
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะ D จะเน้นไปที่การดูแลแบบประคับประคองและการจัดการกับอาการเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต การรักษาอาจรวมถึงการจัดการความเจ็บปวด การจัดการกับภาวะแทรกซ้อน ในบางกรณีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจมีการเสนอแนะให้มีการทำเคมีบำบัดโดยวิธี Transarterial Chemoembolization (TACE) เพื่อชะลอการเติบโตของเนื้องอกและบรรเทาอาการโดยการปิดกั้นไม่ให้เลือดไปเลี้ยงเนื้องอก หรือก้อนเนื้อมะเร็ง
หลังจากที่ได้รู้กันไปแล้วว่ามะเร็งตับมีกี่ระยะและรู้แล้วว่ามะเร็งตับระยะแพร่กระจายอยู่ในระยะไหนตามเกณฑ์การแบ่งระยะของ Barcelona-Clinic Liver Cancer (BCLC) เราต้องขอบอกเลยว่าระบบ BCLC นี้เป็นเพียงหนึ่งในเกณฑ์การแบ่งระยะของโรคมะเร็งตับมีกี่ระยะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเท่านั้น โดยเกณฑ์การจัดระยะนั้นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและสถานการณ์ของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาการของมะเร็งตับของผู้ป่วยแต่ละรายหลังจากผ่านการซักประวัติและวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื่องจากทางเลือกและวิธีการรักษาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของเนื้องอกและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยนั่นเอง