เชื่อว่าทุกคนมี “ความฝัน” ที่อยากจะทำอะไรสักอย่างหรือหลายๆ อย่าง แต่เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี บางคนอาจยังไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองฝันไว้ การจะไปให้ถึงความฝันมีปัจจัยหลายอย่าง นอกจากคนรอบข้างแล้ว “แรงบันดาลใจ” จากภายในของตัวเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่นเดียวกับหมอแอ๊นท์ ผศ.พญ. ฐิติมา ว่องวิริยะวงศ์ อายุรแพทย์ด้านผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่หลงรักและเริ่มร้องเพลงตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม เธอใฝ่ฝันที่จะได้ประกวดร้องเพลงในเวทีใหญ่ แต่ก็ไม่กล้าและได้แต่เก็บความฝันนี้ไว้ในใจมานานกว่า 10 ปี จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้หมอแอ๊นท์ตัดสินใจเข้าร่วมประกวดร้องเพลงใน The Voice Thailand 2019 (Season 8) เพื่อไล่ตามความฝันในภายใจของเธอเอง
จุดเริ่มต้นของความฝัน
“แอ๊นท์เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นอนุบาล แต่มาเริ่มจริงจังตอนอยู่ ป.4 เพราะคุณครูให้ไปประกวดร้องเพลงวันแม่ ทำให้เราตั้งใจร้องเพลงมากขึ้น ช่วงนั้นเป็นยุค 90 ก็ยังมีเทปคาสเซ็ต มีซีดี ซึ่งนักร้องที่แอ๊นท์ชื่นชอบก็คือ มารายห์ แครีย์ (Mariah Carey) เพราะเขาเป็นคนที่ร้องเพลงแบบมีพลังมากๆ พอฟังแล้วเราก็ฝึกร้องตาม ฝึกในรถบ้าง ในห้องน้ำบ้าง แต่แอ๊นท์ชอบฝึกร้องเพลงในรถมากกว่า เพราะได้ยินเสียงตัวเองชัดเจนเหมือนฟังจากมอนิเตอร์ จึงฝึกแบบนี้มาเรื่อย ๆ
จนมาเริ่มประกวดร้องเพลงตอนสมัยเรียนมัธยมต้น ซึ่งเป็นงานที่ทางโรงเรียนจัดเอง พอเข้าสู่ช่วงมัธยมปลายก็ไม่ได้ประกวดร้องเพลงอีกเลย เพราะต้องจริงจังกับการเรียน จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจึงมีโอกาสได้ประกวดร้องเพลงของมหาวิทยาลัยและร่วมกิจกรรมที่ศิริราชจัดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว พอมาเป็นอาจารย์แพทย์ศิริราชแล้วก็ได้เข้าร่วมชมรมร้องประสานเสียง ทำให้ได้เทคนิคการร้องและกลับมาฝึกร้องเพลงมากขึ้น”
อุปสรรคที่แท้จริงคือ “ตัวเราเอง”
“ตอนที่มีการประกวด The Voice Thailand Season 1 แอ๊นท์มีโอกาสได้ดูแล้วก็รู้สึกว่าอยากลองไปสมัครดูสักครั้ง เพราะเขาไม่ได้เลือกที่รูปร่างหน้าตา แต่เลือกจากเสียงร้องของเรา แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยังเรียนอยู่ เวลามีเรื่องอะไรก็จะปรึกษากับเพื่อน ๆ ซึ่งเพื่อนก็บอกว่า ‘อย่าไปเลย..เดี๋ยวไม่มีเวลา’ จนกระทั่งเรียนจบก็คุยกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปประกวดละนะ เพื่อนก็ปรามว่า ‘อย่าไปเลย…เป็นอาจารย์แล้วนะ เดี๋ยวเกิดไปทำอะไรแล้วผิดพลาดจะเสียภาพลักษณ์ของหมอ ของโรงพยาบาล’ หรือจะไม่ไปดีนะ แอ๊นท์คิดแบบนั้นอยู่หลายปีมาก จนทุกวันนี้ถึงรู้ว่า…สิ่งที่ทำให้เราไม่กล้าไล่ล่าความฝัน แท้จริงแล้วคือ ตัวเราและความคิดของเรา ไม่ใช่คำพูดของคนอื่นเลย”
แค่ “เปลี่ยนวิธีคิด” ความฝันก็เป็นจริง
“ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ที่แอ๊นท์ไปนำเสนองานประชุมวิชาการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้ไปพักที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งซึ่งสามีเขาเป็นฝรั่ง ตอนทานอาหารเย็นร่วมกันสามีเขาก็เปิดเพลงฟัง เพื่อนจึงบอกให้แอ๊นท์ร้องเพลงให้ฟัง แอ๊นท์จึงร้องสดให้ฟังโดยไม่มี backing track สามีเพื่อนก็ช็อกเลยว่า รู้จักกันมา 10 กว่าปีไม่เคยรู้เลยว่าเราร้องเพลงได้ แล้วเขาก็พูดประมาณว่า เขาฟังเราร้องเพลงแล้วรู้สึกมีความสุข ลองไปประกวดสิ มีเวทีอะไรสักอย่างมั้ย อย่างน้อยถึงไม่ชนะ แต่ว่าแค่ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ดูสักครั้งก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งแอ๊นท์ตอบเขาไปว่า ‘ไม่ได้หรอก เป็นหมอจะไปประกวดได้อย่างไร เดี๋ยวเกิดผิดพลาดขึ้นมาเกรงว่าจะส่งผลเสียหายกับหน้าที่การงาน’ เขาก็หัวเราะ แล้วคุยกับเราว่า
‘ลองคิดแค่ว่า เราไปแบ่งปันความสุขให้คนฟัง น่าจะช่วยให้ตัดสินใจง่ายกว่า’
เขาบอกว่าลองสมัครเถอะ จะรอดูนะ ถ้าสมัครได้สักเวทีหนึ่งเขาจะให้กำลังใจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าได้ประกวดเขากับภรรยาจะบินจากอเมริกาเพื่อมาเชียร์เรา ตอนนั้นเลยคิดว่า เขากระตุกความคิดเราได้ และทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นและอยากลองก้าวข้ามกรอบที่ตัวเองขีดไว้ และด้วยความที่เราเองชอบรายการ The Voice อยู่แล้วและคิดอยากลองสมัครมาหลายปี พอกลับจากอเมริกา ก็ลองค้นจาก google ว่ามีรายการ The Voice Thailand รับสมัครหรือยัง ปรากฏว่า Season 8 เปิดรับสมัครช่วงนั้นพอดีเลย…แต่ก็ยังแอบลังเลนิดหน่อย พอดีช่วงนั้นมีเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งไม่สบาย แอ๊นท์จึงหันกลับมามองตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเราป่วยแล้วยังมีสิ่งที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำเราจะรู้สึกอย่างไร จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปประกวด The Voice Thailand โดยใช้เวลาคิด 2 วันจึงกรอกแบบฟอร์มสมัครทางออนไลน์โดยไม่ได้บอกเพื่อนเลย กลัวโดนห้ามอีก แล้วก็ได้รับเลือกให้เข้าไปออดิชั่น”
กว่าจะถึงรอบ Blind Audition
“รายการ The Voice Thailand นอกจากเขาจะคัดจากเสียงแล้ว เขาจะดูว่าเรามีเสน่ห์ที่จะร้องเพลงแล้วเป็นตัวเราเองหรือเปล่า ไม่ได้ดูที่ว่าเราร้องได้กี่คีย์หรือมีเทคนิคการร้องเพลงได้หลายแนวมั้ย รอบ online audition เคยถามทีมงานว่ามีคนส่งมามากแค่ไหน คำตอบก็คือประมาณ 3 หมื่นคนแล้วคัดออกเหลือหลักร้อยเท่านั้นเพื่อเข้าถึงรอบการ audition สด จากนั้นเขาก็จะติดต่อมาให้เตรียมเพลงเพื่อไปร้องให้กรรมการฟังประมาณ 5 เพลง หลาย ๆ แนว (ประมาณเพลงเร็วกับเพลงช้า) ปรากฏว่าเขาเรียกเราด้วย! ตอนนั้นตื่นเต้นมาก รู้สึกเหมือนฝันไป… วันที่ไปร้อง audition สด กรรมการจะถามเรื่องราวของเราว่ามีเรื่องราวอะไรบ้าง ทำไมถึงร้องเพลงนี้ โดยเขาให้เลือกเพลง 5 เพลงที่ไม่มี backing track พอร้องไปสักพักกรรมการก็สะดุดกับเสียงที่ออกมาแบบลมๆ แบบหนึ่งของเรา เขาฟังแล้วถามว่าทำไมดูเศร้าจัง เขาก็เลยเลือกเพลงให้ลองร้องดู พอเราร้องให้กรรมการฟังแล้วเขาชอบ เขาเลยบอกให้รอเรียกนะ จากนั้นก็ผ่านไปอีกรอบหนึ่งเพื่อเข้าสู่รอบ final audition รอบนี้ก็จะคัดออกครึ่งหนึ่ง จาก 200 เหลือ 100 คน โดยให้เตรียมเพลงไปประมาณ 10 เพลง รอบบนี้แอ๊นท์เลือกร้องเพลงกาลครั้งหนึ่ง เพราะชอบ พอร้องจบ กรรมการก็บอกว่าน้ำเสียงเข้ากับเพลงมาก การถ่ายทอดอารมณ์ก็ได้ด้วย เวลาร้องมันเศร้ามาก เขาก็ถามว่าทำไมต้องเศร้า เราก็เล่าเรื่องราวให้เขาฟังไป ทีมงานเลยบอกว่าเอาเพลงครั้งสุดท้ายดีมั้ย ดูมันเข้ากับ story ของหมอและร้องได้เข้าถึงกว่า ซึ่งปกติไม่เคยร้องเพลงนี้เลย เพราะรู้สึกว่าเพลงนี้เศร้ามาก พอเขาเปิดเพลงนี้ให้ฟังแล้วช่วยสร้างบรรยากาศการร้องเพลงให้เรา ตอนร้องออกมาเขาก็บอกว่า…ใช่เลยเพลงนี้แหละ จึงเปลี่ยนเป็นเพลงครั้งสุดท้าย ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้เข้ารอบด้วย เพราะร้องหลุดและเพี้ยนด้วย ปรากฏว่าผ่านไปอาทิตย์เดียวเขาก็โทรศัพท์มาเรียก บอกให้ไปรอบ blind audition ซึ่งเราตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าจะได้เข้าไปถึงรอบนี้”
The Show Must Go On
“รอบ blind audition เป็นรอบที่ตื่นเต้นมาก เพราะก่อนหน้านี้ทางรายการจะมีกำหนดวันซ้อมบนเวที แต่เนื่องจากแอ๊นท์ติดภารกิจทำให้ไม่ได้ไปซ้อมบนเวทีจริง วันที่ร้องรอบ blind audition ก่อนขึ้นเวทีจริงได้ซ้อมแค่รอบเดียวเท่านั้น ขาสั่นเลย แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ประทับใจมาก ตอนนั้นพี่ต๋องที่เป็น music director พูดให้กำลังใจกับนักร้องทุกคน ทำให้รู้ว่าสังคมอาชีพอื่นมีความอ่อนโยนจัง ไม่เคยเจอ รู้สึกเปิดโลกมาก พี่เขาอ่อนโยนมาก ให้กำลังใจเราว่า หมอแอ๊นท์ร้องเพลงส่งความรู้สึกมาให้ถึงผมได้มั้ย ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ เราก็พยายามร้องแสดงความรู้สึกออกมา ทำให้เข้าใจเลยว่าจะต้องร้องให้ได้อารมณ์แบบนี้ แอ๊นท์จะเก็บรายละเอียดการร้องแล้วตั้งใจว่าบนเวทีจริงเราจะต้องทำให้ได้ดีกว่านี้ พอไปร้องจริง ตอนนั้นรู้สึกว่าเราร้องได้ดีนะ ทำได้อย่างที่เราตั้งใจ ดีกว่ารอบที่ซ้อม บนเวทีแอ๊นท์ไม่คิดอะไรมากแล้ว ไม่เครียด ไม่ฝืน ร้องตามความรู้สึก วันนั้นมีโค้ชหันมา 3 คน คือ โค้ชโจอี้ โค้ชป๊อบ โค้ชคิ้ม แต่โค้ชคิ้มโดนโค้ชโจอี้กดบล็อก ทำให้เหลือโค้ชแค่ 2 คนที่เราต้องเลือก จริง ๆ เราตัดสินใจมาจากบ้านว่า โค้ชท่านไหนที่หันมาคนแรกก็จะเลือกคนนั้น หรือถ้าหันมาหลายคนพร้อม ๆ กัน ถ้าตัดสินใจไม่ถูกก็จะเลือกโค้ชที่เรารู้สึกสบายใจ ตอนที่คิดไว้ล่วงหน้าก็จะเป็นโค้ชป๊อบ เพราะว่าดูจาก season ที่ผ่านมาเขาดูชิลล์นะ ดูอบอุ่น คือไม่อยากเครียดเพราะทำงานก็เครียดอยู่แล้ว รู้สึกว่าไปร้องเพลงทำไมต้องเครียด ตอนอยู่บนเวทีก็แอบมีลังเลว่าถ้าโค้ชคิ้มไม่โดนบล็อก เราจะเลือกโค้ชคิ้มดีหรือเปล่า เขาร้องแนว Diva เราก็ชอบฟังเพลงของโค้ชคิ้มมาก ส่วนโค้ชโจอี้ก็ดูน่าตื่นเต้น ถ้าเลือกเขาเราก็น่าจะตื่นเต้นมาก ลูกทีมคนอื่นๆ เขาฉีกแนวกันไปเลย ถ้าอยู่กับโค้ชโจอี้น่าจะสนุก อาจจะได้เห็นตัวเราในมุมอื่น แต่คิดไปคิดมาถ้าฉีกแนวมากจะมีเวลาซ้อมมั้ยนะ ท้ายสุดเหมือนที่เห็นในรายการคือตัดสินใจไม่ถูก เลยเลือกการตัดสินใจที่เราคิดมาจากบ้าน ซึ่งก็คือโค้ชป๊อบ”
จากวันนั้น…ถึงวันนี้
“จากการตัดสินใจไปประกวดร้องเพลงในครั้งนี้ แอ๊นท์ได้ประสบกการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้ทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ๆ ทำให้เห็นโลกกว้างขึ้น ที่สำคัญประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้แอ๊นท์ได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น อย่างแรกแลยทำให้แอ๊นท์ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ก้าวข้ามกรอบของตัวเองทั้งในแง่ของการดำเนินชีวิตและความคิด ทำให้วิธีคิดในการตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากจริง ๆ อย่างที่สองคือแอ๊นท์ได้ลองท้าทายตัวเอง ทำสิ่งที่ไม่เคยได้ทำ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าตัวเองไปได้ถึงแค่ไหน อีกทั้งการได้รู้จักกับเพื่อนในวงการอื่นก็ทำให้ได้เรียนรู้คนอื่นเพิ่มขึ้น รู้ว่าสำหรับทุกคนแล้ว การมีความฝันและการได้ไล่ตามความฝันมันสำคัญมากขนาดไหน และทำให้แอ๊นท์ได้รู้จักตัวเองในมุมอื่นมากขึ้นด้วย อย่างเช่น ปกติเราคิดแค่ว่าเราเป็นหมอก็ดูแลแต่คนไข้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องดูแลคนอื่นรอบข้างในแง่มุมอื่น ๆ ด้วย ทำให้ได้รู้จักตัวเองในหลากหลายแง่มุมมากขึ้น”
เปลี่ยน ’ความฝัน’ ให้เป็น ‘ความจริง’ ง่ายๆ แค่ลงมือทำ
“อยากบอกว่า…อย่ามัวแต่คิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา ตราบใดที่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน หากอยากทำอะไรก็แค่ลงมือทำ เอาแค่ว่าเราคิดอย่างไรกับตัวเองก็พอแล้ว เพราะคนอื่นถึงเวลาแล้วเขาไม่มากังวลอะไรกับเรามากเท่าที่เรากังวลกับตัวเองหรอก ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นอุปสรรคของตัวเอง เพราะความคิดของเราที่คิดไปเอง ทำให้เราไม่กล้าก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองทั้งนั้น ใครที่มีความฝันก็อยากให้ลงมือทำ ถ้าไม่ลองทำดูเราอาจจะเสียใจทีหลัง บางครั้งมันทำให้เราเสียดายโอกาส จะเห็นว่า 2 ปีมานี้ไม่มีประกวด The Voice Thailand แล้ว ถ้าวันนั้นแอ๊นท์ไม่ตัดสินใจไปประกวด วันนี้แอ๊นท์ก็คงเสียใจเช่นกันที่ มีความฝัน…แต่ไม่ลงมือทำ”
–
ผศ.พญ.ฐิติมา ว่องวิริยะวงศ์
- ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2550
- วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ทั่วไป คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2556
- วุฒิบัตรอนุสาขาอายุรศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2558
- ตำแหน่งปัจจุบัน:
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาอายุรศาสตร์ปัจฉิมวัย ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอบคุณภาพจาก: ผศ.พญ. ฐิติมา ว่องวิริยะวงศ์