เปลี่ยน ‘ร่างพัง’ ให้เป็น ‘ร่างปัง’ แบบไร้ข้ออ้างกับพญ. สรัลรัสษ์ คงถนอมรักษ์ (หมอวีมีกล้าม)

Human / Self-Inspiration

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีหุ่นฟิตและเฟิร์มนั้นเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคน แต่…มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการที่จะมีรูปร่างที่ฟิตแบบปังๆ ต้องมีความตั้งใจและมีวินัยเป็นอย่างมาก หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หลายคนอาจจะเคยเห็นเรื่องราวของแพทย์หญิงสรัลรัสษ์ คงถนอมรักษ์ หรือ หมอวีมีกล้าม เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศัลยกรรมยูโรวิทยา ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับเรื่องราวของความพยายามในการลดน้ำหนักทุกรูปแบบ เพื่อต้องการให้มีสุขภาพร่างกายที่สวยงามและแข็งแรงผ่านการลองผิดลองถูกมากมาย จนกระทั่งสิ่งที่คุณหมอวีได้พยายามนั้น นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายและรูปร่างของคุณหมอดีขึ้นแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของคุณหมอวีให้ก้าวเข้าสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติ จนสามารถคว้ารางวัลจากหลากหลายเวทีประกวดได้อีกด้วย เราเชื่อว่าเรื่องราวของหมอวีจะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อหุ่นสวย เป๊ะ ปัง ทั้งยังสุขภาพดีกันได้ไม่ยากเลย

‘น้ำหนักตัว’ ส่งผลกระทบต่อชีวิต

“ตัววีเองก็มีวิถีชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป ทำงานหนัก กินอาหารมื้อดึก ชอบทานของอร่อย ทานขนมหวาน และไม่มีเวลาออกกำลังกาย จนช่วงที่เป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด วีเริ่มรู้สึกว่าน้ำหนักตัวขึ้นมามากเกินจนทำให้รู้สึกอึดอัดและที่สำคัญเราเหนื่อยง่ายมาก ตอนนั้นจำได้ว่าหนักประมาณ 85 กิโลกรัม แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เวลารักษาคนไข้ที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน หรือไขมันสูง หมอจะแนะนำให้คนไข้ควบคุมน้ำหนักหรือเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้วีรู้สึกเขินคนไข้อยู่เหมือนกัน เพราะตัววีเองก็ยังมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินจึงไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนไข้ได้ 

อีกปัญหาที่เจอคือ ปกติวีเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาอยู่แล้วแต่ด้วยการทำงานที่ค่อนข้างหนักในช่วงนั้น จึงทำให้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ตอนนั้นเพื่อนชวนมาเล่นบาสเกตบอลเพื่อที่จะไปแข่งขันของโรงพยาบาล จึงทำให้วีมองเห็นปัญหาของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากวีรู้สึกเหนื่อยมากและมีอาการปวดหัวเข่าจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตอนที่เล่นบาสเกตบอล จนต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า ปัญหาน้ำหนักตัวกำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง

ลองผิด ลองถูก ด้วยการอดอาหาร

“การลดน้ำหนักของคนส่วนใหญ่มักจะเริ่มด้วยการลดหรืออดอาหาร เพราะเชื่อว่าเมื่อทานน้อยลงน้ำหนักตัวก็ต้องลดลงอย่างแน่นอน ซึ่งวีก็เป็นหนี่งในนั้น ด้วยความที่อยากลดน้ำหนักให้เห็นผลและรวดเร็วมากที่สุด วีทานอาหารน้อยมากหรือแทบจะอดอาหารเลยก็ว่าได้ ในแต่ละวันวีทานแค่ไข่ต้ม 1- 2 ฟองกับแอปเปิล 1 ลูก และแล้วเน้นดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ แทน ซึ่งตอนนั้นคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นหนทางที่ดีในการลดน้ำหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ เพราะวีสามารถลดน้ำหนักลงไปได้ถึง 7 กิโลกรัมภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน จริงๆ แล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักที่ลดลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบที่วีไม่ได้นึกถึง นั่นคือวีเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันเลย แถมยังหงุดหงิดง่าย อ่อนเพลีย ช่วงนั้นมีแต่คนทักว่า วีผอมลงแต่หน้าตาดูโทรมเหมือนเหนื่อยล้ามากๆ ทำให้วีกลับมาคิดว่า ‘การอดอาหารไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง’ แถมยังทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด”

ลดน้ำหนักด้วยการสร้างกล้ามเนื้อ

“หลังจากนั้นวีจึงลองลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายและเข้าฟิตเนสอย่างจริงจัง เพราะน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยกว่า ตอนนั้นเข้าฟิตเนสไปแบบไม่รู้อะไรเลย ลองผิด ลองถูก เริ่มจากการใช้ลู่วิ่งออกกำลังกายวันละประมาณ 30 นาที ส่วนเรื่องของอาหารก็ยังคงทานแบบเดิม นั่นทำให้วียิ่งไม่มีแรงมากขึ้นกว่าเดิม จนเริ่มรู้สึกว่าเราคงไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิต วีจึงเริ่มซักถามและหาข้อมูลในการลดน้ำหนักจากคนที่ไปเล่นในฟิตเนสด้วยกัน ก็ได้คำแนะนำว่าการลดน้ำหนักและการสร้างหุ่นที่ดีแบบยั่งยืนนั้นต้องสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อนั้นถือเป็นแหล่งเผาผลาญพลังงานชั้นดี ถ้าหากเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ เราก็จะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน แต่การจะสร้างกล้ามเนื้อได้นั้น เราต้องรับประทานอาหารให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ รวมไปถึงการดื่มน้ำสะอาดและการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในทุกๆ วัน นั่นทำให้วีหันกลับมามองวิถีชีวิตของตนเองในปัจจุบันและพบว่า การอดอาหารทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในการซ่อมแซมร่างกายและเสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดต่างๆ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ววีจึงเริ่มปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตของตัวเอง จากการอดอาหารเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม เรียกได้ว่าอาหารที่ทานแต่ละมื้อนั้นเฮลธ์ตี้ ทั้งอิ่มและได้รับสารอาหารครบถ้วน ไม่ต้องทนหิวและหมดแรงเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว รวมถึงการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นเวทหรือคาดิโอก็ทำอย่างสม่ำเสมอ วีทำอย่างนี้อยู่เป็นปี หลังจากหนึ่งปีแห่งความพยายาม ร่างกายและน้ำหนักก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วีเริ่มรู้สึกดีกับตัวเองที่สามารถกลับมามีรูปร่างและสุขภาพที่ดีได้อีกครั้ง” 

ความท้าทายที่ได้จากเวทีประกวดเพาะกาย

“ครั้งหนึ่งวีได้มีโอกาสตามเพื่อนไปดูการแข่งขันประกวดเพาะกาย เวทีชิงแชมป์ประเทศไทยในปี 2013 ซึ่งต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของวี เพราะภาพของการประกวดเพาะกายในความคิดของวีนั้นมีแต่ผู้ชายกล้ามโต แต่ในยุคนั้นก็เริ่มมีผู้หญิงเข้ามาร่วมแข่งขันด้วยเช่นกัน ผู้เข้าประกวดหญิงจะสวมใส่ชุดบิกินี่ที่เผยให้เห็นถึงรูปร่างและหุ่นที่ฟิตและเฟิร์ม โดยไม่ได้มีกล้ามที่ทำให้ดูน่ากลัวหรือบึกบึนจนเกินไป แต่เผยให้เห็นถึงความงดงามของกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อไหล่ ซิกแพค ซึ่งทำให้แต่ละคนนั้นมีรูปร่างที่ดูแข็งแรงและสวยงามในเวลาเดียวกัน และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วีอยากท้าทายตัวเองว่าจะสามารถทำรูปร่างให้ลีนและมีกล้ามเนื้ออย่างเช่นผู้ประกวดเพาะกายหญิงได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าวีจะลดน้ำหนักได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากยังมีไขมันที่สะสมมาเป็นเวลานานตรงช่วงหน้าท้อง ซึ่งทำให้มีลักษณะคล้ายกับ skinny fat อยู่บ้าง และร่างกายก็ยังไม่มีกล้ามเนื้อมากมายนัก ยังไม่มีซิกแพคหรือรูปร่างที่สมบูรณ์แบบตามมาตรฐานของเวทีประกวด วีจึงเริ่มคิดที่จะสร้างหุ่นให้ลีนและมีกล้ามเนื้อแบบนั้นมาปรับใช้เพื่อทดลองกับร่างกายของตนเองว่าจะสามารถสร้างร่างกายให้มีกล้ามเนื้อที่ลีนสวยได้หรือไม่”

ก้าวแรกสู่การประกวดเพาะกาย

“วีเริ่มต้นจากการดูแลเรื่องอาหารเป็นอันดับแรก ใช้การชั่งตวงอาหารก่อนการปรุงในทุกๆ ครั้ง เพื่อควบคุมการรับประทานอาหารให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะในการสร้างกล้ามเนื้อและเสริมสารอาหารที่ร่างกายต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เรียกได้ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงทดสอบร่างกายและจิตใจได้อย่างดีทีเดียว เพราะเป็นช่วงที่วีกลับมาเรียนต่อเป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่ง ซึ่งมีตารางการทำงานที่แน่นและยุ่งมากๆ แต่วีก็พยายามแบ่งเวลาในการออกกำลังกายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะพอมีเวลา หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนในวงการฟิตเนสก็ชวนให้ลองไปลงแข่งในเวทีเล็กๆ สำหรับนักเพาะกายหน้าใหม่ที่ใช้ชื่อเวทีประกวดว่า ‘หนุ่มกายงามสาวกล้ามสวย’ ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวแค่ 1 เดือนเท่านั้น วียังคงใช้วิธีการชั่งตวงอาหารเหมือนในแบบเดิมที่เคยทำ นอกจากนั้นก็คือ เรื่องของการออกกําลังกาย จำได้ว่าในช่วงนั้นวีออกกําลังกายมากถึงวันละ 3 ชั่วโมง โดยแบ่งเวลาในการออกกำลังกายเป็นรอบเช้า กลางวัน และเย็น วันละ 3 เวลา เพราะช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านงานจะยุ่งมากๆ จึงแบ่งเวลาออกกำลังกายให้แต่ละช่วงได้ออกกำลังสลับประเภทกัน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงานอย่างครบถ้วน ทั้งคาดิโอและการยกเวท รวมถึงต้องหัดโพสท่าด้วย เพราะการประกวดเพาะกายครั้งนี้เป็นคล้ายๆ กับการประกวดฟิตเนสโมเดลซึ่งเน้นความสวยงามเป็นหลัก และต้องมีการโพสท่าแบบฟรีโพส ซึ่งเป็นการเดินโชว์รูปร่างเหมือนกับการเดินแบบอีกด้วย ซึ่งวีโชคดีที่ได้เทรนเนอร์อย่างคุณเจอร์รี่ ซึ่งเป็นเทรนเนอร์ของคุณแอน ทองประสม ในปัจจุบัน ช่วยฝึกซ้อมเรื่องการโพสท่าให้ วีทำแบบนี้ตลอดหนึ่งเดือนจนถึงวันที่เข้าแข่งขัน จริงๆ แล้วการประกวดครั้งนี้วีไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนักเพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อย และตัววีเองก็ไม่ได้มีรูปร่างแบบนาฬิกาทรายหรือแบบพิมพ์นิยมสักเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่าครั้งนี้วีได้รางวัลอันดับ 2 มาแบบเหนือความคาดหมาย” 

Rethink Rebuild Restart

“จากการประกวดครั้งนั้น วีสังเกตเห็นว่ารูปร่างและกล้ามเนื้อของผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศนั้น เป็นรูปร่างที่มีกล้ามเนื้อสวยงามและดูแข็งแรงพอเหมาะพอดีเป็นอย่างยิ่ง จากจุดนี้เองทำให้สัญชาตญาณในการแข่งขันของวีเริ่มต้นทำงาน เพราะเรามีความรู้สึกว่า เราอยากชนะ เราอยากได้รางวัลชนะเลิศ วีจึงกลับมาทำการบ้าน หาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงตั้งใจกับการฝึกซ้อมมากขึ้นด้วย การเพาะกายนั้นต้องมีช่วงเวลาที่เราสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันสลับกันไป โดยในช่วงของการสร้างกล้ามเนื้อ เราจะรับประทานอาหารเท่าๆ กับค่า BMR (อัตราการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน) ในร่างกาย หรือบางทีก็จะบวกเพิ่มขึ้นอีกราว 300 แคลอรี การที่เราเข้าใจเกี่ยวกับ BMR ของร่างกายจะมีประโยชน์ทั้งในแง่ของการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพได้เป็นอย่างดี เพราะ BMR จะช่วยบอกถึงอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อการประกวดวีเลือกที่จะรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นมาอีกนิดและใช้การยกเวทให้หนัก เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากการแข่งขันครั้งแรก วีฝึกฝนตนเองมากยิ่งกว่าเดิมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในปีที่ 2 แต่ผลการแข่งขันในครั้งนี้วีได้เพียงอันดับที่ 4 มาครอบครอง ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังและเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าเพราะกลับมานั่งคิดทบทวนว่าเพราะเหตุใดการแข่งขันครั้งนี้จึงไม่ประสบกับความสำเร็จ และในที่สุดวีก็พบว่าตัววีเองยังมีปัญหาในเรื่องของการโพสท่าอยู่ เพราะด้วยตัวเราเป็นคนลุยๆ คล้ายๆ ผู้ชาย จึงทำให้วีขาดความอ่อนหวานซึ่งมีผลต่อการโพสท่าประกวดเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นถึงปัญหาอย่างนี้แล้ววีก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” 

ปรับเปลี่ยนมายด์เซตเพื่อพิชิตรางวัลแห่งชีวิต

“เมื่อเริ่มเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง วีก็เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อที่จะพัฒนาร่างกายและคว้าชัยชนะมาให้ได้ ตอนนั้นวีมีโค้ชที่ให้คอยคำแนะนำและคำปรึกษาอย่าง คุณหนึ่ง วรกร ที่ช่วยปรับจูนความคิดต่างๆ เกี่ยวกับการแข่งขันเพาะกาย โดยสิ่งแรกที่โค้ชให้วีปรับเปลี่ยนก็คือ เรื่องของการวางตัว โดยแนะนำให้เพิ่มความเป็นผู้หญิงในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะการประกวดเพาะกายก็คล้ายกับการประกวดฟิตเนสโมเดลที่มักต้องการสีสัน ทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากเห็นความงดงามของสรีระ ความเซ็กซี่ในแบบเฮลธ์ตี้ที่มีกล้ามเนื้อ และความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวแบบนักกีฬามืออาชีพ โดยร่างกายควรมีองค์ประกอบของกล้ามเนื้ออย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นซิกแพค ไหล่ หลัง สะโพก หรือการที่เอวต้องเล็กคอดอย่างเหมาะสม ซึ่งโค้ชต้องการเน้นในส่วนนี้ ดังนั้นวีจึงเริ่มจากการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนรองเท้าธรรมดามาเป็นการใส่รองเท้าส้นสูงในทุกๆ วัน หันมาไว้ผมยาวแทนการไว้ผมสั้น รวมไปถึงเริ่มหัดเดินให้มีความนุ่มนวลและเป็นผู้หญิงมากขึ้น วีพยายามเรียนรู้จากหลายช่องทาง เช่น วิดีโอของ Jennifer Lopez สังเกตตั้งแต่อินเนอร์ของการเดิน ท่วงท่าการวางตัวต่างๆ รวมไปถึงการใช้สายตาและการมอง ซึ่งเรียกได้ว่าใส่จริตของความเป็นหญิงลงไปอย่างเต็มที่ หลังจากการฝึกหนักในครั้งนี้ เวทีแรกที่วีได้ร่วมเข้าประกวดก็คือ เวทีมิสเตอร์ไทยแลนด์ ซึ่งถือเป็นการชิงแชมป์ประเทศไทย โดยผู้ชนะอันดับที่ 1 จะได้เป็นทีมชาติ จริงๆ แล้ววีไม่ได้คาดหวังในการติดทีมชาติ แค่อยากจะทําให้ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ซึ่งความพยายามครั้งนี้ของวีไม่สูญเปล่าเพราะนอกจากจะได้รางวัลชนะเลิศแล้ว วียังได้กลายเป็นนักกีฬาเพาะกายและฟิตเนสทีมชาติไทยอีกด้วย” 

กำลังใจที่ได้รับคือส่วนหนึ่งของชัยชนะ

“ก่อนที่จะลงแข่งขันในระดับนานาชาติ วีได้เตรียมตัวและฝึกซ้อมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระเบียบวินัยในการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการทำกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้อง โดยในช่วงนั้นวีก็ยังทำงานเป็นแพทย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งงานที่ทำก็ยังหนักเหมือนเดิม ดังนั้นวีจึงใช้วิธีการตื่นแต่เช้าราวๆ ตี 4 ในทุกวัน เพื่อออกกําลังกายและเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ในการสร้างกล้ามเนื้อและปั้นหุ่นสำหรับการแข่งขัน ใช้ทุกช่วงเวลาที่ว่างเพื่อการฝึกซ้อมและออกกำลังกายให้ได้ตามที่โค้ชกำหนดให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้วีกลายเป็นคนมีวินัยโดยอัตโนมัติ 

หลังจากติดทีมชาติวีก็ได้ไปแข่งขันอีกหลายเวที ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในระดับ South East Asia ซึ่งได้รางวัลที่ 2 หรือการแข่งขัน World Championship ปี 2016 ซึ่งเป็นการแข่งขันในระดับโลก ในตอนนั้นก็ได้อันดับที่ 5 ตลอดช่วงเวลาในการแข่งขันเพาะกายนั้น วีได้รับกำลังใจอย่างท่วมท้นจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในสังคมฟิตเนสที่ช่วยสนับสนุน ผลักดัน คอยให้กำลังใจในการต่อสู้และฝึกซ้อมร่างกายอยู่ตลอดเวลา โค้ชที่ช่วยทั้งปลุกพลังและฝึกซ้อมจนวีได้ติดทีมชาติไทย รวมถึงเพื่อนๆ ในที่ทำงานและอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์วิสูตรและอาจารย์วิทย์ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยในขณะนั้น แม้ว่าช่วงที่วีต้องแข่งจะอยู่ในช่วงของการเป็นแพทย์ประจำบ้านซึ่งมีความรับผิดชอบมากมายและมีงานหนักอยู่ตลอดเวลา แต่อาจารย์ก็แนะแนวทางในการบริหารเวลาและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ประจำบ้านด้วยกันก็สนับสนุนและคอยช่วยเหลือในทุกๆ แง่มุมที่จะช่วยกันได้  ซึ่งทุกแรงสนับสนุนที่ได้รับทำให้วีสามารถเลือกทำตามฝันของตนเองได้ในท้ายที่สุด นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การให้กำลังใจตัวเอง มีหลายครั้งที่วีรู้สึกถึงความหนักอึ้งในสิ่งที่ต้องทำและรับผิดชอบ รวมถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกซ้อม ทำให้เกิดความท้อจนแทบจะล้มเลิกเลยก็มี แต่การที่วีได้รับกำลังใจจากทุกคนที่อยู่รอบข้าง ทำให้วีมีแรงที่จะผลักดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง”

สำหรับคนที่อยากจะลดน้ำหนักที่จริงแล้วเราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยการทําอาหารรับประทานเองที่บ้าน ใส่เครื่องปรุงรสให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา น้ำตาล ผงชูรส แล้วก็คุมปริมาณน้ำมันหรือจะเลือกใช้น้ำมันที่มีประโยชน์อย่างเช่นน้ำมันมะกอก ก็จะทำให้มื้อนั้นได้ทั้งคุณค่าและอิ่มท้องอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ต้องการลดไขมัน วีแนะนำให้คำนวณค่าของ Calorie Deficit ซึ่งอาจจะต่างกันในแต่ละคน ซึ่งหลังจากเราได้ค่าที่เหมาะสมตามเป้าหมายแล้ว เราสามารถเลือกการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมในการลดไขมันได้ดียิ่งขึ้น และอย่าลืมว่าการเลือกการออกกำลังกายในแบบที่ตนเองชอบหรือถนัดนั้นถือเป็นการสร้างแรงจูงใจได้อย่างดี เพราะการค้นหาสิ่งที่เราชอบที่สุดหรือสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทําได้เรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เราไม่เบื่อหรือท้อได้ง่าย ดังนั้นลองเลือกกิจกรรมที่คิดว่าใช่สำหรับตัวเอง เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน โยคะ หรือการออกกำลังกายแบบไหนก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกดี แต่ทั้งนี้การมีวินัยและความพยายามถือเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน

วีเชื่อว่าการออกกําลังกายถือเป็นพื้นฐานของมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้นถ้าเราสามารถขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างมีความสุขไปพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว เราก็จะสามารถทำสิ่งอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง