รู้หรือไม่? เป็นภูมิแพ้ใช่ว่าจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต แต่เราสามารถรักษาอาการภูมิแพ้ให้หายขาดด้วย “วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น”
ทำความรู้จัก “ภูมิคุ้มกันบำบัด” (Immunotherapy) กันก่อน
ตามปกติแล้ว เมื่อร่างกายของเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณปานกลางถึงมาก ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามกำจัดสารเหล่านั้นออกไป ทำให้เกิดเป็นอาการต่างๆ เช่น จาม มีน้ำมูก ตาแดง เป็นต้น แต่หากร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อยอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีการค่อยๆ เพิ่มปริมาณสารก่อภูมิแพ้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะค่อยๆ สร้างภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ ขึ้นมา
หลักการดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการรักษาที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบำบัด” หรือการนำเอาสารก่อภูมิแพ้มากระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปัจจุบัน การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมี 2 วิธี คือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Immunotherapy หรือ SCIT) และการอมใต้ลิ้น (Sublingual Immunotherapy หรือ SLIT) โดยวิธีที่สองหรือวัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าเพราะมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผู้ป่วยสามารถนำกลับไปใช้เองที่บ้านได้สะดวก ราคาย่อมเยากว่า และเป็นที่ยอมรับในการใช้กับเด็กมากกว่า
ใครบ้างเหมาะกับการรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้?
ผู้ป่วยภูมิแพ้จมูกอักเสบ หอบหืด ภูมิแพ้เยื่อบุตา แพ้แมลง ผิวหนังอักเสบ และเป็นผู้ป่วยภูมิแพ้แบบเรื้อรังที่ไม่ต้องการใช้ยาในระยะยาว หรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
ใครไม่ควรใช้วัคซีนภูมิแพ้
– ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ควบคุมอาการไม่ได้
– ผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่ม Beta Blockers หรือ ACE Inhibitors
– ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV
– สตรีตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ขั้นตอนการใช้ “วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น”
วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น มี 2 ประเภท คือ วัคซีนแบบน้ำและวัคซีนแบบเม็ด แต่ในปัจจุบัน องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้การรับรองประสิทธิภาพแก่วัคซีนแบบเม็ดเท่านั้น ส่วนวัคซีนแบบน้ำนั้น แม้จะมีการใช้งานโดยแพทย์ในบางกรณี แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิผลโดย FDA อยู่
วิธีการใช้: อมวัคซีนแบบเม็ดใต้ลิ้นทุกวัน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ในระยะเวลาตามที่แพทย์สั่ง ทำต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3-5 ปี
คำแนะนำ:
– เมื่อแกะเม็ดวัคซีนออกจากแผงแล้ว ควรใช้ทันที
– หลังจากอมวัคซีนใต้ลิ้นแล้ว ห้ามกลืนน้ำลายเป็นเวลาอย่างน้อย 1 นาที / ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาที
– ควรใช้วัคซีนครั้งแรกต่อหน้าแพทย์เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ
– หากมีแผลในปาก / ถอนฟัน / มีการผ่าตัดในช่องปาก ควรหยุดวัคซีนจนกว่าอาการจะดีขึ้น
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
อาการข้างเคียงมักเกิดขึ้นภายในสัปดาห์แรกหลังเริ่มใช้วัคซีน แต่โดยมากแล้ว มักเป็นอาการที่ไม่เป็นอันตรายอะไร และเป็นอาการเฉพาะที่เท่านั้น เช่น ระคายคอ คันภายในช่องปาก ริมฝีปาก หรือใบหู และอาการลิ้นบวม เป็นต้น
ส่วนอาการที่หนักกว่านั้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดช่องท้อง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น พบได้น้อยมาก และที่ผ่านมา ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากการใช้วัคซีนอมใต้ลิ้นชนิดเม็ด
อย่างไรก็ตาม วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้น จัดเป็นยาควบคุมพิเศษในประเทศไทยที่สามารถใช้ได้ในสถานพยาบาลเท่านั้น จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ที่มา:
www.healthline.com
www.pharmacy.mahidol.ac.th
www.bnhhospital.com
www.bch.in.th