Digital MS Footprints: นวัตกรรมติดตามรอยโรค MS ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

Brain / Health

โรค Multiple Sclerosis (MS) หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง” เป็นโรคที่ท้าทายทั้งผู้ป่วยและแพทย์มาโดยตลอด ด้วยอาการที่ผันผวนและไม่สามารถคาดเดาได้ การติดตามอาการในอดีตต้องอาศัยการนัดพบแพทย์เป็นระยะ ๆ ซึ่งอาจจับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันไม่ได้อย่างครบถ้วน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงภาพนี้อย่างสิ้นเชิง

“Digital MS Footprints” หรือ “รอยเท้าดิจิทัลของโรค MS” เป็นแนวคิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการติดตามอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วย อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านอุปกรณ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสมาร์ตโฟนและ wearable devices

สมาร์ตโฟน: ผู้ช่วยการแพทย์ในกำมือ

การศึกษาล่าสุดจาก npj Digital Medicine ในปี 2024 พบว่าข้อมูลจากสมาร์ตโฟนสามารถแยกแยะผู้ป่วย MS จากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึง 97% แอปพลิเคชันอย่าง Floodlight ที่พัฒนาโดย Roche มีการทดสอบที่หลากหลาย เช่น การเคาะหน้าจอเพื่อวัดความเร็วของการเคลื่อนไหวมือ การเดินพร้อมถือโทรศัพท์เพื่อวัดความสมดุล และการวัดการใช้งานโทรศัพท์ในแต่ละวัน

อะไรที่น่าสนใจคือการที่ผู้ป่วย MS ใช้โทรศัพท์น้อยกว่าคนปกติ และจังหวะการใช้งานจะสะท้อนถึงระดับความเหนื่อยล้าและความรุนแรงของอาการ นี่คือข้อมูลที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อน

Wearable Devices: เซ็นเซอร์แห่งชีวิต

อุปกรณ์สวมใส่อย่าง Fitbit, Apple Watch หรืออุปกรณ์เฉพาะทางทางการแพทย์ สามารถรวบรวมข้อมูลสำคัญได้มากมาย การศึกษาจาก ETH Zurich ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจและกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความรุนแรงของโรค MS

ผู้ป่วย MS มักจะมี:

  • จำนวนก้าวต่อวันที่น้อยกว่าคนปกติ
  • ความแปรปรวนของอัตราการเต้นหัวใจที่ลดลง
  • รูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ
  • ระดับกิจกรรมทางกายที่ต่ำกว่า

การรวมข้อมูลจากหลายแหล่งด้วยเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ทำให้เราสามารถสร้างโมเดลที่คาดการณ์อาการและความก้าวหน้าของโรคได้อย่างแม่นยำ การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน PLOS Digital Health ปี 2024 แสดงให้เห็นว่าโมเดล ML สามารถคาดการณ์การเสื่อมของความสามารถในผู้ป่วย MS ได้อย่างน่าเชื่อถือ

การติดตามแบบ Real-time

แทนที่จะรอการนัดพบแพทย์ทุก 3-6 เดือน ขณะนี้แพทย์สามารถติดตามอาการของผู้ป่วยได้ทุกวัน ระบบ AI สามารถเตือนเมื่อมีสัญญาณของการกำเริบหรือการเสื่อมของอาการ ทำให้สามารถปรับการรักษาได้ทันท่วงที

การศึกษาจาก Nature Scientific Reports ปี 2023 พบว่าเครื่องมือ AI สำหรับการวิเคราะห์ MRI สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของรอยโรคได้อย่างแม่นยำถึง 93.3% เทียบกับ 58.3% ของการอ่านรังสีวิทยาแบบดั้งเดิม

การรักษาแบบ Personalized Medicine

ข้อมูลดิจิทัลช่วยให้แพทย์เข้าใจผู้ป่วยแต่ละรายอย่างลึกซึ้ง การรักษาจึงสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับ lifestyle และอาการเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละคน โครงการ CLAIMS (Clinical Impact through AI-assisted MS Care) กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่งเพื่อสร้างภาพรวมที่สมบูรณ์ของผู้ป่วย

ปัญหาการใช้งานจริง

การศึกษาเกี่ยวกับแอป Floodlight พบว่าแม้ผู้ป่วย MS จะมีแนวโน้มใช้แอปต่อเนื่องมากกว่าคนปกติ แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่หยุดใช้หลังสัปดาห์แรก นี่เป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เทคโนโลยีนี้ประสบความสำเร็จ

ความปลอดภัยข้อมูล

การรวบรวมข้อมูลสุขภาพอย่างต่อเนื่องต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ผู้ป่วยต้องมั่นใจว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจะได้รับการปกป้อง

ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสมาร์ตโฟนหรือ wearable devices การพัฒนาเทคโนโลยีจึงต้องคำนึงถึงการเข้าถึงและความเท่าเทียม

การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ

เทคโนโลยี Digital Twin กำลังถูกพัฒนาเพื่อสร้างสำเนาดิจิทัลของผู้ป่วยที่สามารถจำลองการตอบสนองต่อการรักษาต่าง ๆ ได้ นี่จะช่วยให้แพทย์เลือกการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างแม่นยำ

การศึกษาใหม่กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์ที่สามารถวัดได้มากกว่าแค่การเคลื่อนไหว รวมถึงการตรวจวัดการทำงานของสมอง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และแม้กระทั่งการคาดการณ์การกำเริบ

การร่วมมือระหว่างนานาชาติ

โครงการวิจัยข้ามชาติกำลังรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย MS ทั่วโลกเพื่อสร้างโมเดล AI ที่แม่นยำและครอบคลุม การแบ่งปันข้อมูลแบบ Federated Learning จะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย

Digital MS Footprints ไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานของการดูแลสุขภาพ จากการรักษาแบบ reactive ที่รอให้อาการเกิดขึ้นก่อน เป็นการดูแลแบบ proactive ที่สามารถคาดการณ์และป้องกันได้

สำหรับผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) และครอบครัว นี่คือความหวังใหม่ที่จะทำให้การจัดการกับโรคนี้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสำคัญที่สุดคือให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าอนาคตของการแพทย์อยู่ในอุปกรณ์ที่เราพกพาติดตัวทุกวัน และสิ่งที่เราเรียกว่า “รอยเท้าดิจิทัล” อาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้กับโรค MS


แหล่งอ้างอิง

  1. Gashi, S., Oldrati, P., Moebus, M., et al. (2024). Modeling multiple sclerosis using mobile and wearable sensor data. npj Digital Medicine, 7(1), 64.
  2. Amin, M., Martínez-Heras, E., Ontaneda, D., & Prados Carrasco, F. (2024). Artificial Intelligence and Multiple Sclerosis. Current Neurology and Neuroscience Reports, 24(8), 233-243.
  3. Bonacchi, R., et al. (2023). A real-world clinical validation for AI-based MRI monitoring in multiple sclerosis. npj Digital Medicine, 6(1), 205.
  4. De Brouwer, E., et al. (2024). Machine-learning-based prediction of disability progression in multiple sclerosis. PLOS Digital Health, 3(7), e0000533.
  5. Woelfle, T., Bourguignon, L., Lorscheider, J., et al. (2023). Wearable Sensor Technologies to Assess Motor Functions in People With Multiple Sclerosis: Systematic Scoping Review and Perspective. Journal of Medical Internet Research, 25, e44428.
  6. Praet, J., et al. (2024). A future of AI-driven personalized care for people with multiple sclerosis. Frontiers in Immunology, 15, 1446748.
  7. Multiple Sclerosis Performance Test (MSPT) and Floodlight Open Platform Studies (2024). Nature Medicine and Scientific Reports.

บทความที่เกี่ยวข้อง