มะเร็งตับสาเหตุของโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้ชายไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งสาเหตุของมะเร็งตับมาจากหลายปัจจัยและอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มเติม สาเหตุมะเร็งตับสาเหตุหลัก ๆ คือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงโรคตับแข็ง ทั้ง 3 สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เพราะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การอักเสบอย่างต่อเนื่องและทำลายเซลล์ตับเมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้เกิดการพัฒนาของมะเร็งตับในที่สุด
อาการของมะเร็งตับจะพบในผู้ชายที่มีอายุอยู่ระหว่าง 30-70 ปี ซึ่งจำนวนของผู้ชายที่เป็นโรคมะเร็งตับจะมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าอัตราการเกิดมะเร็งตับสาเหตุในผู้ชายจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ที่สูงขึ้น การดื่มเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ และพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับอาชีพบางอาชีพที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ เช่น อาชีพที่ต้องสัมผัสถ่านหิน ก๊าซ ในอุตสาหกรรมเหล็ก หรืออุตสาหกรรมที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงบ่อย ๆ เป็นต้น
รู้จักกับมะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ
มะเร็งตับเกิดจากสาเหตุใดบ้าง? มะเร็งตับสาเหตุจะแบ่งกว้าง ๆ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ มะเร็งตับระยะแรก (มะเร็งชนิดปฐมภูมิ) ซึ่งเกิดขึ้นภายในตับ และมะเร็งตับระยะ 2 (มะเร็งชนิดทุติยภูมิ) จะเกิดขึ้นเมื่อมะเร็งแพร่กระจายจากตับไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ลำไส้ใหญ่ ปอด หรือเต้านม แพร่กระจายไปยังตับผ่านทางกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลืองแล้ว โดย มะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ แบ่งได้ดังนี้…
1. ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) หรือไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เรื้อรังเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับสาเหตุหลัก ๆ ไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบในระยะยาวและทำลายตับในที่สุด ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาของมะเร็งเมื่อเวลาผ่านไป สำหรับความแตกต่างระหว่างไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และ ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) มีดังนี้…
✔ ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)
- การแพร่เชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกับเลือดที่ติดเชื้อ น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด และของเหลวในร่างกายอื่น ๆ
- ประมาณ 90% ของทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิดจะเกิดการติดเชื้อเรื้อรัง 6-10% ของผู้ใหญ่ที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง
- มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการป้องกัน
- การลุกลามของโรคอาจทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งเซลล์ตับ (มะเร็งตับ)
- ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อจะมีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดบุตร
- มีโอกาสสูงในการติดเชื้อเรื้อรังหลังการติดเชื้อเฉียบพลัน
- มียาต้านไวรัสเพื่อยับยั้งไวรัสและจัดการกับการติดเชื้อเรื้อรัง
- เป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับสาเหตุหลัก เพราะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเซลล์ตับ (HCC)
✔ ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)
- การแพร่เชื้อส่วนใหญ่ติดต่อทางเลือดต่อเลือด (สัมผัสโดยตรงกับเลือดที่ติดเชื้อ)
- อัตราการติดเชื้อเรื้อรัง ประมาณ 75-85% ของผู้ติดเชื้อจะพัฒนาไปสู่การติดเชื้อเรื้อรัง
- รักษาเร็ว มีโอกาสหายขาดได้
- การลุกลามของโรคอาจทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งเซลล์ตับ (มะเร็งตับ)
- ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ มีเสี่ยงต่ำในการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดบุตร
- มีโอกาสต่ำในการติดเชื้อเรื้อรังหลังการติดเชื้อเฉียบพลัน
- มียาต้านไวรัสที่ช่วยยับยั้งและจัดการกับการติดเชื้อเรื้อรัง
- เป็นสาเหตุมะเร็งตับสาเหตุหลักที่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเซลล์ตับที่เป็นมะเร็งปฐมภูมิ
ความแตกต่างของไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และ ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) จะขึ้นอยู่กับการแพร่เชื้อ อัตราการติดเชื้อเรื้อรัง และความพร้อมของวัคซีน เป็นต้น ซึ่งการทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้สามารถช่วยให้เรารู้เท่าทันและจัดการกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โรคตับแข็ง
โรคตับแข็งเป็นภาวะที่ตับได้รับความเสียหายและเกิดแผลเป็นอย่างถาวร แล้วเกิดเป็นเนื้อเยื่อพังผืดส่วนเกินภายในตับ อันเป็นผลจากภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง, การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, โรคไขมันพอกตับ, โรคตับอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่าง ซึ่งโรคตับแข็งเป็นสาเหตุมะเร็งตับสาเหตุหนึ่งเหมือนกัน
3. การดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและดื่มเป็นเวลานานอาจนำไปสู่โรคตับจากแอลกอฮอล์ รวมถึงไขมันพอกตับ ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ และท้ายที่สุดคือโรคตับแข็ง ซึ่งโรคตับจากแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ เรียกได้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของมะเร็งตับที่แฝงเข้ามานั่นเอง
4. โรคไขมันพอกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease; NAFLD)
NAFLD เป็นภาวะที่มีลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการสะสมของไขมันในตับ ภาวะนี้มักเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เบาหวาน และกลุ่มอาการเมตาบอลิซึม ในบางกรณี NAFLD สามารถพัฒนาไปสู่การเกิดภาวะไขมันแทรกตับ (NASH) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของตับและการเกิดพังผืด เป็นโรคที่เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับ
5. สารพิษ Aflatoxin
Aflatoxin เป็นสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบได้จากอาหารประเภทธัญพืช ถั่ว และพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ ซึ่งการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อราแล้วเชื้อรานั้นสร้างสาร Aflatoxin ซึ่งหากได้รับสารนี้เป็นเวลานานก็จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับเรื้อรัง เกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุมะเร็งตับสาเหตุหนึ่งที่จะก่อให้เกิดมะเร็งตับได้ในอนาคต
6. ปัจจัยทางพันธุกรรม
ภาวะทางพันธุกรรม เช่น ภาวะเหล็กเกิน หรือ ฮีโมโครมาโตซิสที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม, ถุงลมโป่งพองจากการขาดอัลฟ่า-1 (Alpha-1-Antitrypsin Deficiency Emphysema) และความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึมบางอย่าง
7. สารพิษจากสิ่งแวดล้อม
การได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อมบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ไวนิลคลอไรด์ สารหนู และสารเคมีอุตสาหกรรมบางชนิด มีส่วนทำให้ความเสี่ยงของมะเร็งตับเพิ่มขึ้น ซึ่งสารพิษเหล่านี้รวมถึงสารต่าง ๆ ได้รับการระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็งในตับ
วิธีวินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ ทำอย่างไรได้บ้าง?
การวินิจฉัยสาเหตุมะเร็งตับจะมีความเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยต่าง ๆ อย่างครอบคลุม รวมถึงประวัติทางการแพทย์ ปัจจัยเสี่ยง การตรวจร่างกาย หรือการตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งตับอาจไม่สามารถระบุได้เสมอไป แต่แนวทางการวินิจฉัยหลายวิธีสามารถช่วยระบุสาเหตุที่แท้จริงได้ ซึ่งเราแบ่งการวินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ ได้ดังนี้…
1. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
✔ ประวัติทางการแพทย์และการประเมินปัจจัยเสี่ยง สอบถามเกี่ยวกับประวัติของไวรัสตับอักเสบ รวมถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) หรือไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ซึ่งจะประเมินระยะเวลาของการติดเชื้อ การรักษาก่อนหน้านี้ และการสัมผัสเลือดหรือของเหลวในร่างกายที่ติดเชื้อ
✔ ตรวจเลือด
การตรวจเลือดเพื่อการวินิจฉัยจะดำเนินการเพื่อตรวจหาไวรัสตับอักเสบและประเมินปริมาณไวรัสตลอดจนประเมินการทำงานของตับและตรวจหาสัญญาณของความเสียหายหรือการอักเสบของตับ
✔ ตรวจ HBsAG (แอนติเจนไวรัสตับอักเสบบี)
เป็นตัวบ่งชี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งจะเป็นการตรวจตัวที่บ่งบอกว่าโรคอยู่ในระยะที่ไวรัสกำลังแบ่งตัวหรือผ่านระยะที่ไวรัสแบ่งตัวไปแล้ว
2. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
✔ ประวัติทางการแพทย์
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ป่วย รวมถึงปริมาณและระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
✔ การตรวจเลือด
ทำการทดสอบการทำงานของตับเพื่อประเมินเอนไซม์ตับ เช่น อะลานีนทรานซามิเนส (ALT) และแอสปาเทตทรานซามิเนส (AST) ซึ่งสิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความเสียหายของตับเนื่องจากการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไป
✔ การทำ CT scan หรือ MRI
สามารถช่วยประเมินสภาพของตับเพื่อหาสัญญาณของโรคตับที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ รวมถึงไขมันพอกตับ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้
3. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากโรคไขมันพอกตับ (NAFLD)
✔ ประวัติทางการแพทย์
ประเมินประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย โดยเน้นที่ปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคอ้วน ภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคเบาหวาน และกลุ่มอาการเมตาบอลิซึม
✔ การทำอัลตราซาวนด์ CT scan หรือ MRI
สามารถช่วยประเมินตับเพื่อหาสัญญาณของโรคไขมันพอกตับ การอักเสบ หรือพังผืดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตับได้
✔ การตรวจชิ้นเนื้อตับ
ในบางกรณี อาจมีการตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจเนื้อเยื่อตับและระบุความรุนแรงของ NAFLD ที่เป็นสาเหตุมะเร็งตับสาเหตุหนึ่ง
4. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากโรคตับอักเสบจากภูมิคุ้มกัน
✔ ประวัติทางการแพทย์
สอบถามเกี่ยวกับอาการของโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง เช่น โรคตับอักเสบจากภูมิคุ้มกัน, โรคตับแข็งน้ำดีปฐมภูมิ (PBC) หรือท่อน้ำดีอักเสบแข็งปฐมภูมิ (PSC)
✔ การตรวจเลือด
ตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะ เอนไซม์ตับ และตัวบ่งชี้การทำงานของตับ เพื่อประเมินการทำงานของภูมิคุ้มกันและระบุโรคตับจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
✔ การทำ MRI และการตรวจชิ้นเนื้อตับ
เพื่อประเมินขอบเขตของความเสียหายของตับ การอักเสบ และพังผืดที่เกิดจากโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง
5. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
✔ การตรวจยีน หรือการตรวจพันธุกรรม
เป็นการตรวจหาความผิดปกติของยีนในร่างกายที่ลงลึกถึงระดับดีเอ็นเอ สำหรับบุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับหรือมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ ซึ่งสามารถช่วยระบุการกลายพันธุ์หรือความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจงได้
✔ ประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย
เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติครอบครัวและอาการที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของตับทางพันธุกรรม
✔ การตรวจเลือด
การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของตับ วัดระดับธาตุเหล็ก (ในกรณีที่เป็นภาวะเหล็กเกินจากความผิดปกติทางพันธุกรรม) หรือตรวจหาการขาดโปรตีนที่เฉพาะเจาะจง (ในกรณีที่ถุงลมโป่งพองจากการขาดอัลฟ่า-1)
6. วินิจฉัยมะเร็งตับสาเหตุจากสารพิษจากสิ่งแวดล้อม
✔ ประวัติการทำงาน:
จะมีการสอบถามเกี่ยวกับอาชีพของผู้ป่วย การได้รับสารพิษที่เฉพาะเจาะจง และ ประวัติการทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่อาจเป็นสาเหตุมะเร็งตับ
✔ การประเมินการสัมผัสต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยและการสัมผัสที่อาจเกิดขึ้นกับสารพิษในสิ่งแวดล้อม เช่น สารหนู และสารเคมีอุตสาหกรรมบางชนิด เป็นต้น
✔ การตรวจเลือดหรือปัสสาวะ
เพื่อตรวจหาสารพิษเฉพาะหรือประเมินระดับการรับสัมผัส
การวินิจฉัยสาเหตุต่าง ๆ และอาการของมะเร็งตับเกี่ยวข้องกับข้อมูลจากประวัติทางการแพทย์ ปัจจัยเสี่ยง การตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจเลือด และบางครั้งการตรวจชิ้นเนื้อตับหรือการตรวจทางพันธุกรรม เนื่องจากการวินิจฉัยเหล่านี้เป็นวิธีที่ทำให้สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งตับได้ชัดขึ้น ซึ่งจะเป็นแนวทางในการรักษาและวางแผนการจัดการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายได้อย่างแม่นยำขึ้น
วิธีการรักษามะเร็งตับ
วิธีการรักษามะเร็งตับและอาการของมะเร็งตับในปัจจุบันมีแนวทางที่หลากหลายซึ่งปรับให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย ระยะของมะเร็ง และการทำงานของตับ ซึ่งวิธีการรักษามะเร็งตับจะแบ่งได้เป็นการผ่าตัด, การปลูกถ่าย, การฉายรังสีระยะไกล, การฉายรังสีร่วมพิกัดบริเวณลำตัว, การฉีดสารกัมมันตภาพรังสี, การใช้คลื่นวิทยุทำลายเนื้องอกที่ตับ, การรักษามะเร็งตับด้วยคลื่นไมโครเวฟ, การรักษามะเร็งตับด้วยการจี้ด้วยความเย็นจัด, เคมีบำบัดผ่านทางการอุดหลอดเลือด, ยามุ่งเป้า, ภูมิคุ้มกันบำบัด และเคมีบำบัด ซึ่งทางเลือกของการรักษามะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับตับและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจาก ระยะของมะเร็งตับรวมถึงสาเหตุของมะเร็งตับนั่นเอง
หลังจากที่ได้รู้ว่ามะเร็งตับเกิดจากสาเหตุใดและวิธีการรักษามะเร็งตับสาเหตุต่าง ๆ กันไปแล้ว เราอยากบอกว่าการจัดการปัจจัยเสี่ยงสาเหตุของมะเร็งตับสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับได้ ซึ่งการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับและทำให้ตับมีสุขภาพโดยรวมที่ดีได้