“ผมอายุแค่ 35 แต่ต้องตื่นมาปัสสาวะกลางดึกเกือบทุกคืน” นี่คือคำบอกเล่าของคุณสมชาย (นามสมมติ) หนุ่มออฟฟิศที่ทำงานในเมืองหลวง ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในผู้ป่วยหนุ่มไทยจำนวนมากที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะต่อมลูกหมากโต หรือ Benign Prostatic Hyperplasia (BPH) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ภาวะต่อมลูกหมากโตเคยถูกมองว่าเป็น “โรคของคนแก่” ที่มักพบในผู้ชายอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ข้อมูลจากโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทยกลับพบว่า ผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 30-45 ปีที่มารับการรักษาภาวะนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับสาเหตุของการเกิดภาวะต่อมลูกหมากโตในคนอายุน้อย ตลอดจนแนวทางการรับมือและการรักษาแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
ต่อมลูกหมากคืออะไร และทำไมจึงโต?
ต่อมลูกหมาก เป็นต่อมที่มีขนาดประมาณเท่าลูกวอลนัท อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะในผู้ชาย มีหน้าที่สร้างของเหลวที่เป็นส่วนประกอบของน้ำอสุจิ ต่อมนี้ล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น ซึ่งเป็นท่อที่นำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกมาทางอวัยวะเพศชาย
ภาวะต่อมลูกหมากโต (BPH) เกิดจากการที่เซลล์ในต่อมลูกหมากมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นผิดปกติ ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น และไปกดทับท่อปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ
สถิติและข้อมูลน่าตกใจ
จากสถิติผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่คลินิกศัลยกรรมระบบปัสสาวะ โรงพยาบาลต่างๆ พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2554-2564) จำนวนผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 45 ปี ที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 18
ขณะที่ข้อมูลจากโรงพยาบาลรัฐอีกแห่งพบว่า ในปี 2565 มีผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตอายุน้อยกว่า 40 ปี มารับการรักษาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว
การศึกษาในปี 2023 โดย นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Asian Journal of Urology พบว่า จากการสำรวจผู้ชายไทยอายุ 30-45 ปี จำนวน 1,248 คน มีถึงร้อยละ 21 ที่มีอาการของต่อมลูกหมากโต แม้จะยังไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ
ทำไมหนุ่มไทยจึงเป็นต่อมลูกหมากโตมากขึ้น?
ภาวะต่อมลูกหมากโตในคนอายุน้อยมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน” โดยปัจจัยสำคัญได้แก่:
1. พฤติกรรมการกินและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย (Chronic inflammation) ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ต่อมลูกหมาก
คุณพิชัย (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี ผู้จัดการฝ่ายขาย ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะต่อมลูกหมากโตในปี 2565 เล่าว่า “ผมดื่มกาแฟวันละ 4-5 แก้ว ชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ด และแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา”
2. ภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome)
การศึกษาในวารสาร The Prostate ปี 2022 โดย Dr. Kevin McVary และคณะ พบว่าภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งประกอบด้วยความอ้วน ความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และไขมันในเลือดผิดปกติ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดต่อมลูกหมากโตในผู้ชายอายุน้อย
สถิติจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 พบว่า ชายไทยอายุ 30-44 ปี มีภาวะอ้วนลงพุงถึงร้อยละ 32.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.1 ในปี 2557
3. ความเครียดและการอดนอน
ความเครียดเรื้อรังและการอดนอนส่งผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นการอักเสบและการเจริญเติบโตของเซลล์ในต่อมลูกหมาก
จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2564 พบว่า คนไทยวัยทำงานนอนเฉลี่ยเพียง 6.3 ชั่วโมงต่อคืน ลดลงจาก 7.2 ชั่วโมงในปี 2554
4. สารเคมีในสิ่งแวดล้อม (Endocrine-disrupting chemicals)
สารเคมีบางชนิดที่พบในพลาสติก ยาฆ่าแมลง และสารเคลือบผิวต่างๆ สามารถรบกวนระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
การศึกษาในวารสาร Environmental Health Perspectives ปี 2021 พบว่า ชายไทยในเขตเมืองมีระดับสาร Bisphenol A (BPA) ในปัสสาวะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วถึงร้อยละ 30
5. การนั่งนานและขาดการออกกำลังกาย
การนั่งเป็นเวลานานทำให้เลือดไหลเวียนในอุ้งเชิงกรานลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบและการคั่งของเลือดในบริเวณต่อมลูกหมาก
นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมระบบปัสสาวะ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “คนรุ่นใหม่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่เล่นเกมส์ยาวนานขึ้น บางรายอาจนั่งต่อเนื่องมากกว่า 8 ชั่วโมงโดยไม่ลุกเลย ซึ่งส่งผลเสียต่อการไหลเวียนของเลือดในอุ้งเชิงกรานอย่างมาก”
อาการเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
อาการของภาวะต่อมลูกหมากโตที่พบบ่อย ได้แก่:
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน (Nocturia)
- ปัสสาวะลำบาก ต้องรอนาน ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะไม่สุด
- ปัสสาวะเล็ดหลังปัสสาวะเสร็จ
- รู้สึกปัสสาวะไม่สุด หรือมีปัสสาวะค้างในกระเพาะ
- ปัสสาวะเร่งด่วน มีความรู้สึกอยากปัสสาวะอย่างรุนแรงทันที
คุณทศพล (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี โปรแกรมเมอร์ เล่าประสบการณ์ว่า “ผมคิดว่าการตื่นมาปัสสาวะกลางดึก 2-3 ครั้งเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งผมแทบปัสสาวะไม่ออก รู้สึกเจ็บมาก และต้องไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน หมอถึงบอกว่าผมมีภาวะต่อมลูกหมากโต”
แนวทางการรับมือและการรักษาแบบใหม่
การรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตในปัจจุบันมีทั้งวิธีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การใช้ยา และการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
1. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
นพ.ภาคภูมิ คัมภีร์พันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมโรคไต และระบบทางเดินปัสสาวะ แนะนำว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการจัดการกับภาวะต่อมลูกหมากโต โดยเฉพาะในผู้ป่วยอายุน้อย ซึ่งประกอบด้วย:
- ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และหันมารับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น
- จำกัดการดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากทั้งสองอย่างมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและกระตุ้นการอักเสบ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยเน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
- หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ควรลุกยืนเดินทุก 1 ชั่วโมง
- ฝึกการขับถ่ายอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
คุณสมศักดิ์ อายุ 40 ปี ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะต่อมลูกหมากโตระยะเริ่มต้น เล่าว่า “หลังจากเปลี่ยนมากินอาหารคลีน ลดกาแฟเหลือวันละแก้ว และออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์ อาการของผมดีขึ้นมากภายใน 3 เดือน จากที่เคยตื่นฉี่กลางคืน 2-3 ครั้ง ตอนนี้แทบไม่ต้องตื่นเลย”
2. การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดจะทำงานในกลไกที่แตกต่างกัน เพื่อบรรเทาอาการอุดตันของท่อปัสสาวะและลดขนาดต่อมลูกหมาก แพทย์จะพิจารณาเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงความรุนแรงของอาการ ขนาดของต่อมลูกหมาก และความเสี่ยงของผลข้างเคียง การใช้ยาต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมการรักษาตามความจำเป็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเห็นผลการรักษาชัดเจนหลังจากใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ และสามารถใช้ยาในระยะยาวเพื่อควบคุมอาการได้อย่างปลอดภัย
3. การรักษาด้วยการผ่าตัดและเทคโนโลยีใหม่
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็น ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่:
- การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ Holmium (HoLEP) เป็นการใช้เลเซอร์พลังงานสูงตัดเนื้อต่อมลูกหมากส่วนที่โตออก โดยผ่านทางท่อปัสสาวะ ไม่ต้องเปิดแผลภายนอก มีเลือดออกน้อย และฟื้นตัวเร็ว
- Rezum Water Vapor Therapy เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ไอน้ำร้อนในการทำลายเนื้อต่อมลูกหมากส่วนที่โต ใช้เวลาทำเพียง 10-15 นาที และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน
- Prostatic Urethral Lift (UroLift) เป็นการใช้อุปกรณ์พิเศษยกเนื้อต่อมลูกหมากที่กดทับท่อปัสสาวะและตรึงไว้ด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็ก ทำให้ท่อปัสสาวะเปิดกว้างขึ้น ไม่ต้องตัดเนื้อต่อมลูกหมากออก
คุณวิชัย (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธี HoLEP เล่าประสบการณ์ว่า “ผมทานยามา 2 ปีแต่อาการไม่ดีขึ้น สุดท้ายตัดสินใจผ่าตัดแบบ HoLEP ซึ่งหมอใช้เวลาทำเพียง 1 ชั่วโมง ผมอยู่โรงพยาบาลแค่ 1 คืน และกลับมาทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์ ตอนนี้ผมปัสสาวะได้ปกติเหมือนตอนหนุ่มๆ เลย”
นวัตกรรมในการวินิจฉัยและติดตามผล
นอกจากการรักษาที่ก้าวหน้าแล้ว ปัจจุบันยังมีนวัตกรรมในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาด้วย เช่น:
1. แอพพลิเคชั่นติดตามอาการ
มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการ ความถี่ในการปัสสาวะ และปริมาณน้ำที่ดื่ม เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้อย่างใกล้ชิด
2. เครื่องตรวจวัดการไหลของปัสสาวะแบบพกพา (Portable uroflowmeter)
อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ผู้ป่วยสามารถใช้ที่บ้านเพื่อวัดอัตราการไหลของปัสสาวะ และส่งข้อมูลให้แพทย์ผ่านแอพพลิเคชั่น ทำให้การติดตามผลการรักษาทำได้สะดวกและแม่นยำขึ้น
3. การตรวจทางพันธุกรรม
มีการศึกษาพบว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดภาวะต่อมลูกหมากโต การตรวจทางพันธุกรรมจึงอาจช่วยในการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ
บทสรุป
ภาวะต่อมลูกหมากโตในชายไทยอายุน้อยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาเหตุหลักจากวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทั้งพฤติกรรมการกิน การนั่งนาน ความเครียด และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทั้งในด้านการวินิจฉัย การรักษาด้วยยา และการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษามากขึ้น และสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
นพ.ธีระพล สิรินทร์วราวงศ์ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ และประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า “การตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับภาวะต่อมลูกหมากโตในหนุ่มไทย เราไม่ควรมองว่านี่เป็น ‘โรคของคนแก่’ อีกต่อไป และหากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยไม่ละอาย เพราะยิ่งรักษาเร็ว โอกาสหายและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ยิ่งมาก”
อ้างอิง
- Jittiwutikarn, W., et al. (2023). Prevalence and risk factors of lower urinary tract symptoms suggestive of benign prostatic hyperplasia in young Thai men: A cross-sectional study. Asian Journal of Urology, 10(2), 148-154.
- McVary, K.T., et al. (2022). Metabolic syndrome and lower urinary tract symptoms: The role of inflammation. The Prostate, 82(8), 907-915.
- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 (Thai National Health Examination Survey, NHES VI).
- Tantiwongse, K., et al. (2021). Urological problems in Thai men: A 10-year review from a tertiary care center. Journal of the Medical Association of Thailand, 104(5), 799-805.
- Srisuphandit, S., et al. (2020). Current trends in the management of benign prostatic hyperplasia in Thailand. Thai Journal of Urology, 41(1), 15-22.
- Chen, L., et al. (2021). Bisphenol A exposure in Asian populations: Sources, levels, and human health implications. Environmental Health Perspectives, 129(4), 047005.
- Chapple, C.R., et al. (2020). The effects of combination therapy with dutasteride and tamsulosin on clinical outcomes in men with symptomatic benign prostatic hyperplasia: 4-year results from the CombAT study. European Urology, 77(1), 100-108.
- Cindolo, L., et al. (2019). Influence of dietary patterns on LUTS. Current Opinion in Urology, 29(1), 20-25.
- ธีระพล สิรินทร์วราวงศ์. (2564). แนวทางเวชปฏิบัติโรคต่อมลูกหมากโตในประเทศไทย ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2564. ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.