Smart Numbness Mapping: นวัตกรรมติดตามอาการชาในโรคระบบประสาท

Bone & Muscle / Health / Others

อาการชาปลายมือปลายเท้าที่เกิดขึ้นเป็นระยะอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ป่วยโรคระบบประสาทหลายล้านคนทั่วโลก อาการนี้คือสัญญาณเตือนที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ตั้งแต่การสูญเสียการทรงตัว ล้มง่าย ไปจนถึงแผลเรื้อรังที่อาจต้องตัดขาด โชคดีที่วงการแพทย์ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Smart Numbness Mapping” ซึ่งกำลังปฏิวัติการดูแลผู้ป่วยโรคระบบประสาท

โรค Peripheral Neuropathy หรือโรคเส้นประสาทส่วนปลายเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน การศึกษาจาก International Diabetes Federation พบว่าผู้ป่วยเบาหวาน 30-50% จะเกิดภาวะเส้นประสาทเสื่อมในที่สุด อาการเริ่มต้นมักเป็นความรู้สึกชาที่ปลายเท้า ค่อยๆ ลามขึ้นมาที่ขา และในบางรายอาจลามไปถึงมือ ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “glove-stocking distribution” หรืออาการชาแบบสวมถุงมือถุงเท้า

ปัญหาใหญ่ของอาการชาคือผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผล นักวิจัยจาก Johns Hopkins Medicine ระบุว่าอาการนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เท้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจลุกลามเป็นแผลเรื้อรังและติดเชื้อ นำไปสู่การตัดขาในที่สุด นอกจากนี้ การสูญเสียความรู้สึกยังส่งผลต่อการรับรู้ตำแหน่งของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยเสียการทรงตัวและมีความเสี่ยงสูงต่อการหกล้ม

แพทย์มักใช้วิธีการตรวจมาตรฐานหลายแบบในการวินิจฉัยโรคเส้นประสาทเสื่อม เช่น การตรวจ Nerve Conduction Studies (NCS) และ Electromyography (EMG) ซึ่งเป็นการวัดการส่งสัญญาณของเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือการตรวจด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การใช้ส้อมเสียงวัดความรู้สึกสั่นสะเทือน หรือการใช้เข็มวัดความรู้สึกสัมผัส

แม้วิธีการเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ การตรวจ NCS และ EMG ตามรายงานจาก MedlinePlus ต้องใช้เวลานาน อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเล็กน้อยจากการเสียบเข็ม และที่สำคัญคือ การตรวจแต่ละครั้งให้ภาพเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของอาการอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ การตรวจมาตรฐานมักตรวจพบได้เฉพาะเมื่อเส้นประสาทใหญ่ได้รับความเสียหาย แต่อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติของเส้นประสาทเล็กในระยะเริ่มต้นได้

Smart Numbness Mapping คือการรวมเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อติดตามและทำแผนที่อาการชาอย่างละเอียดและต่อเนื่อง โดยใช้อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) เซ็นเซอร์อัจฉริยะ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วย

1. อุปกรณ์เซ็นเซอร์สวมใส่ที่เท้า

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications ปี 2024 แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมอุปกรณ์สวมใส่ที่ไม่ต้องผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นประสาทเสื่อม อุปกรณ์เหล่านี้ติดตั้งเซ็นเซอร์ที่สามารถกระตุ้นเส้นประสาทผ่านผิวหนัง ช่วยให้ผู้ป่วยรับรู้ความรู้สึกที่หายไปและปรับปรุงการเดินได้

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อย่าง smart insoles หรือพื้นรองเท้าอัจฉริยะที่มีเซ็นเซอร์วัดแรงกดบนฝ่าเท้าแบบเรียลไทม์ รวมถึง smart socks หรือถุงเท้าอัจฉริยะที่มีเซ็นเซอร์วัดความชื้นและอุณหภูมิ ช่วยป้องกันการเกิดแผลจากแรงกดที่ไม่สมดุลและการติดเชื้อจากความชื้น อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth ส่งการแจ้งเตือนทันทีเมื่อตรวจพบความผิดปกติ

2. ระบบวัดหลายมิติในอุปกรณ์เดียว

อุปกรณ์อย่าง NEURO TOUCH ที่พัฒนาขึ้นสำหรับการคัดกรองโรคเส้นประสาทเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวาน ตามที่ตีพิมพ์ในวารสาร ScienceDirect ปี 2021 เป็นอุปกรณ์พกพาที่สามารถตรวจสอบ 4 พารามิเตอร์ในเครื่องเดียว ได้แก่ การรับรู้การสัมผัส การรับรู้การสั่นสะเทือน ค่าความร้อน และอุณหภูมิผิวหนัง อุปกรณ์นี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือมีความไวและความจำเพาะสูง ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองในระยะเริ่มต้นได้ดี

3. เซ็นเซอร์วัดการเคลื่อนไหวและปัญญาประดิษฐ์

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน MDPI Biosensors ปี 2024 นำเสนออุปกรณ์ Moveo ที่ใช้เซ็นเซอร์วัดการเคลื่อนไหว 4 ตัว ติดที่หลังมือและหลังเท้า ร่วมกับแอปพลิเคชันมือถือและระบบ AI บนคลาวด์ อุปกรณ์นี้วัดสัญญาณการเคลื่อนไหวขณะผู้ป่วยทำแบบฝึกหัด 6 ท่า ทั้งหลับตาและลืมตา

ข้อมูลที่ได้จะถูกส่งผ่านแอปไปยังระบบคลาวด์ที่ใช้ AI วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับข้อมูลการตรวจ Electrodiagnostic (EDx) แบบมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่าข้อมูลจาก Moveo มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับผลการตรวจ EDx และสามารถใช้เป็นตัวแทนได้ ที่น่าสนใจคือเมื่อผู้ป่วยหลับตา การเคลื่อนไหวที่ถูกต้องจะลดลงเนื่องจากความรู้สึกตำแหน่งของร่างกายผิดปกติ ซึ่ง AI สามารถจับความแตกต่างนี้ได้

งานวิจัยจาก Nature Communications แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ผู้ป่วยที่ใช้อุปกรณ์ช่วยฟื้นฟูความรู้สึกสามารถเดินได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีการทรงตัวดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการหกล้ม การศึกษาวัดจังหวะการเดินพบว่าเมื่อมีอุปกรณ์ช่วยให้สัญญาณรับรู้ (Sensory Feedback) ผู้ป่วยสามารถควบคุมจังหวะการเดินได้ดีกว่าตอนไม่มีอุปกรณ์ช่วยอย่างเห็นได้ชัด

การศึกษาเกี่ยวกับ smart insoles ระบุว่าการติดตามแรงกดบนฝ่าเท้าแบบเรียลไทม์ช่วยกระจายแรงกดให้สมดุล ป้องกันการเกิดแรงกดจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน ส่วนเซ็นเซอร์วัดความชื้นในถุงเท้าอัจฉริยะช่วยเตือนผู้ป่วยให้เช็ดเท้าแห้งทันท่วงที ป้องกันการติดเชื้อที่อาจลุกลามได้อย่างรวดเร็ว

แม้เทคโนโลยี Smart Numbness Mapping จะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องพัฒนาต่อ รายงานจาก PMC (PubMed Central) เกี่ยวกับเซ็นเซอร์สวมใส่สำหรับผู้ป่วยระบบประสาทระบุประเด็นสำคัญหลายข้อ

  • ความแม่นยำและมาตรฐาน – อุปกรณ์ต้องผ่านการตรวจสอบความถูกต้องในสภาพแวดล้อมทางคลินิกให้เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ โดยเฉพาะการยืนยันว่าผลการวัดสอดคล้องกับวิธีการตรวจมาตรฐาน
  • ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล – การติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่องสร้างข้อมูลสุขภาพจำนวนมาก ระบบจัดการและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
  • การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน – ผู้ป่วยสูงอายุอาจพบว่าเทคโนโลยีใช้งานยาก หรืออาจเกิด “technology fatigue” จากการต้องใส่อุปกรณ์และติดตามข้อมูลตลอดเวลา การออกแบบให้ใช้งานง่ายและสวมใส่สบายจึงสำคัญมาก
  • การพิสูจน์ประโยชน์ทางคลินิกที่ชัดเจน – จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีการดูแลแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก

แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ทิศทางของเทคโนโลยีก็น่าตื่นเต้น ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในอนาคตอุปกรณ์สวมใส่อาจไม่เพียงแต่ติดตามอาการ แต่ยังสามารถให้ยาหรือกระตุ้นเส้นประสาท (Neuromodulation) โดยตรงเมื่อตรวจพบอาการผิดปกติ

โครงการ BRAIN Initiative ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) กำลังพัฒนาเทคโนโลยีทำแผนที่สมองระดับนาโนเมตร ใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนความเร็วสูง เครื่อง MRI ความแรงสูงสุด และแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ที่แรงกว่าเดิม 100 เท่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจการทำงานของวงจรประสาทลึกลงไปในสมองมนุษย์ และอาจนำไปสู่การวินิจฉัยและรักษาโรคระบบประสาทที่แม่นยำยิ่งขึ้น

Smart Numbness Mapping แสดงให้เห็นถึงอนาคตของการดูแลโรคระบบประสาทที่เปลี่ยนจากการรักษาแบบหนึ่งเดียวเหมาะกับทุกคน (One-size-fits-all) ไปสู่การดูแลแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) โดยใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากชีวิตประจำวันของผู้ป่วยแต่ละคน

การรวมเซ็นเซอร์สวมใส่ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบติดตามต่อเนื่องเข้าด้วยกันนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้เร็วและแม่นยำขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และที่สำคัญคือยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น

แม้ยังมีความท้าทายที่ต้องเอาชนะ แต่ก้าวที่เดินไปข้างหน้าของเทคโนโลยีนี้ก็น่าตื่นเต้น และให้ความหวังแก่ผู้ป่วยโรคระบบประสาทหลายล้านคนทั่วโลกว่าในไม่ช้า พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัยมากขึ้น


แหล่งอ้างอิง

  1. Nature Communications (2024). “Wearable non-invasive neuroprosthesis for targeted sensory restoration in neuropathy”
  2. MDPI Biosensors (2024). “Wearable Movement Exploration Device with Machine Learning Algorithm for Screening and Tracking Diabetic Neuropathy”
  3. MDPI Sensors (2023). “A Survey of the Diagnosis of Peripheral Neuropathy Using Intelligent and Wearable Systems”
  4. ScienceDirect (2021). “NEURO TOUCH: A novel digital device for assessment and screening of peripheral neuropathy”
  5. PMC – PubMed Central (2024). “Wearable Sensors and Motion Analysis for Neurological Patient Support”
  6. PMC – PubMed Central (2020). “Pain and Stress Detection Using Wearable Sensors and Devices—A Review”
  7. Johns Hopkins Medicine (2024). “Nerve Conduction Studies”
  8. Cleveland Clinic (2025). “Numbness & Tingling: Causes & Treatment”
  9. NIH BRAIN Initiative. “Projects to develop innovative technologies to map the brain”
  10. MedlinePlus. “Electromyography (EMG) and Nerve Conduction Studies”

บทความที่เกี่ยวข้อง