Smart Motion Analytics: นวัตกรรมตรวจจับ Parkinson’s ด้วย AI Motion Tracking

Brain / Health

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease – โรคเสื่อมของระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว) เป็นโรคเสื่อมของระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยมากกว่า 1.2 ล้านคนในยุโรป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต ปัจจุบันการวินิจฉัยและติดตามอาการของโรคนี้ยังคงพึ่งพาการประเมินจากแพทย์เป็นหลัก ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่สามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยี Smart Motion Analytics (เทคโนโลยีวิเคราะห์การเคลื่อนไหวอัจฉริยะ) ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI – Artificial Intelligence) กำลังจะเปลี่ยนแปลงวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอย่างสิ้นเชิง

การตรวจติดตามโรคพาร์กินสันในปัจจุบันยังคงพบปัญหาหลายประการ อาทิ การประเมินอาการที่อาศัยการสังเกตของแพทย์ซึ่งอาจมีความแตกต่างกัน การที่ผู้ป่วยต้องเดินทางมาพบแพทย์เป็นระยะ ๆ และข้อจำกัดในการติดตามอาการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก พบว่าระบบการประเมินอาการแบบดั้งเดิมขาดความไวในการจับความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอาการ ทำให้การทดลองทางคลินิกต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือทางสถิติ

อีกทั้งการประเมินด้วยมาตราส่วน Movement Disorder Society Unified Parkinson’s Disease Rating Scale (MDS-UPDRS – มาตรฐานการประเมินโรคพาร์กินสันของสมาคมความผิดปกติของการเคลื่อนไหว) แม้จะเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ แต่ก็มีลักษณะเป็น semi-subjective (กึ่งอัตนัย – ขึ้นอยู่กับความเห็นส่วนบุคคลบางส่วน) และไม่มีความไวเพียงพอในการจับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของผู้ป่วย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับยาและแผนการรักษา

เทคโนโลยี Smart Motion Analytics ใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของร่างกายผ่านวิดีโอและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์พิเศษบนร่างกาย (Markerless Motion Capture) การศึกษาวิจัยจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยฟลอริดาได้พัฒนาระบบที่สามารถวิเคราะห์วิดีโอการเคาะนิ้ว (Finger-tapping test) ด้วย machine learning (การเรียนรู้ของเครื่อง – เทคโนโลยีที่ให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้จากข้อมูล) เพื่อตรวจจับความผิดปกติของการเคลื่อนไหวที่แม้แต่แพทย์อาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ระบบ AI นี้ทำงานโดยการระบุจุดสำคัญของร่างกายจากวิดีโอ แล้วใช้การเคลื่อนไหวของจุดเหล่านั้นในการแยกแยะระดับความรุนแรงของโรค การศึกษาจากนักวิจัยแสดงให้เห็นว่าระบบ AI สามารถประเมินผลได้แม่นยำกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีค่าความผิดพลาดเฉลี่ยเพียง 0.58 จุด เมื่อเทียบกับแพทย์ที่มีค่าความผิดพลาดเฉลี่ย 0.83 จุด

นอกจากการวิเคราะห์วิดีโอแล้ว อุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่สวมใส่ได้ (Wearable Sensors) ก็เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญ สมาร์ทวอทช์และอุปกรณ์ wearable อื่น ๆ สามารถติดตามอาการต่าง ๆ ได้แบบต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Science Translational Medicine แสดงให้เห็นว่าระบบ Motor fluctuations Monitor for Parkinson’s Disease (MM4PD – ระบบติดตามความผันผวนของการเคลื่อนไหวในโรคพาร์กินสัน) ที่ใช้เซ็นเซอร์ในสมาร์ทวอทช์สามารถติดตามอาการสั่นและ dyskinesia (การเคลื่อนไหวผิดปกติที่ควบคุมไม่ได้ – ผลข้างเคียงจากยา) ได้อย่างต่อเนื่อง

ระบบนี้ได้รับการทดสอบกับผู้ป่วย 343 คน และสามารถวัดความรุนแรงของอาการสั่นที่สัมพันธ์กับการประเมินของแพทย์ได้ถึง 80% นอกจากนี้ยังสามารถจับการเปลี่ยนแปลงของอาการที่เกิดจากการรักษาได้ตรงกับความคาดหวังของแพทย์ในผู้ป่วย 94% ส่วนใน 6% ที่เหลือ ข้อมูลจาก MM4PD กลับช่วยระบุโอกาสในการปรับปรุงกลยุทธ์การใช้ยาให้ดีขึ้น

เทคโนโลยี Smart Motion Analytics ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของมือเท่านั้น หากแต่ครอบคลุมการติดตามอาการต่าง ๆ ของโรคพาร์กินสัน ดังนี้:

1. การตรวจจับอาการสั่น (Tremor Detection)

เซ็นเซอร์ accelerometer (เซ็นเซอร์วัดความเร่ง) และ gyroscope (เซ็นเซอร์วัดการหมุน) สามารถวัดความถี่และความรุนแรงของอาการสั่นได้อย่างแม่นยำ การศึกษาพบว่าการวิเคราะห์ power spectral density (ความหนาแน่นสเปกตรัมกำลัง – การวิเคราะห์ความถี่ของสัญญาณ) เป็นวิธีที่ดีในการแยกแยะอาการสั่นของโรคพาร์กินสันจากโรค Essential Tremor (โรคสั่นปฐมภูมิ – โรคสั่นที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน)

2. การวิเคราะห์การเดิน (Gait Analysis)

ระบบ Mobility Lab (ห้องปฏิบัติการความคล่องตัว) ใช้เซ็นเซอร์หลายตัวที่ติดตั้งบนเท้า แขน และท้อง เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการเดิน สามารถตรวจจับ Freezing of Gait (อาการเท้าติดพื้น – อาการที่ผู้ป่วยไม่สามารถเริ่มเดินหรือหยุดเดินกระทันหันได้) และความผิดปกติของการทรงตัวได้ในระยะเริ่มต้นของโรค

3. การติดตาม Bradykinesia

อาการเคลื่อนไหวช้าลง (Bradykinesia – อาการเคลื่อนไหวช้าลงและลดลง) เป็นอาการสำคัญของโรคพาร์กินสัน เซ็นเซอร์สามารถวัดความเร็วและความราบรื่นของการเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียด

4. การตรวจจับ Dyskinesia

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา L-dopa (ยารักษาโรคพาร์กินสัน) ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ สามารถติดตามและประเมินได้ผ่านเซ็นเซอร์

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้พัฒนาระบบ MyoExo ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ strain sensor (เซ็นเซอร์วัดแรงดึง) ที่สามารถตรวจจับความแข็งของกล้ามเนื้อ (Muscle Rigidity – ความแข็งของกล้ามเนื้อ) ซึ่งพบในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมากกว่า 90% แต่เป็นอาการที่เซ็นเซอร์แบบดั้งเดิมที่วัดการเคลื่อนไหวไม่สามารถตรวจจับได้

เซ็นเซอร์นี้ถูกออกแบบให้สวมใส่ได้สบายตลอดวัน และสามารถตรวจจับรูปแบบทางสรีรวิทยาที่เฉพาะเจาะจงในกล้ามเนื้อของผู้ป่วยได้หลายครั้งตลอดวัน ทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของผู้ป่วยมากกว่าการตรวจเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี

การศึกษาที่น่าสนใจจาก MIT และตีพิมพ์ใน Nature Medicine แสดงให้เห็นว่า AI สามารถตรวจจับโรคพาร์กินสันผ่านสัญญาณการหายใจระหว่างนอนหลับได้ โดยใช้คลื่นวิทยุที่สะท้อนจากร่างกายขณะหลับ ระบบนี้ได้รับการทดสอบกับผู้เข้าร่วมวิจัย 7,671 คน และสามารถตรวจจับโรคพาร์กินสันได้ด้วยความแม่นยำ Area-under-the-curve (พื้นที่ใต้เส้นโค้ง – ตัวชี้วัดความแม่นยำของการทดสอบ) 0.90 ในกลุ่มทดสอบ และ 0.85 ในกลุ่มทดสอบภายนอก

ที่น่าสนใจคือระบบนี้ยังสามารถประเมินความรุนแรงและการดำเนินของโรคได้สอดคล้องกับมาตราส่วน MDS-UPDRS ด้วยค่าสหสัมพันธ์ R = 0.94 และสามารถทำงานได้แบบไร้สัมผัส (Touchless – ไม่ต้องแตะต้องผู้ป่วย) ในสภาพแวดล้อมบ้าน

1. การติดตามแบบต่อเนื่อง

แตกต่างจากการตรวจแบบดั้งเดิมที่ทำเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี เทคโนโลยีนี้สามารถติดตามอาการได้ 24 ชั่วโมง ทำให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและสะท้อนสภาพจริงของผู้ป่วย

2. ความแม่นยำสูง

ระบบ AI สามารถจับความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่แพทย์อาจมองไม่เห็น และให้ผลการประเมินที่สม่ำเสมอและเป็นมาตรฐาน

3. การปรับยาที่เหมาะสม

ข้อมูลแบบ real-time (เวลาจริง – ข้อมูลที่ได้ทันที) ช่วยให้แพทย์สามารถปรับขนาดยาและเวลาในการใช้ยาได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดและลดผลข้างเคียง

4. Early detection

ระบบสามารถตรวจจับอาการในระยะเริ่มต้นของโรค แม้กระทั่งก่อนที่อาการจะชัดเจนพอที่แพทย์จะสังเกตเห็น

5. ลดต้นทุนการรักษา

การติดตามแบบ remote monitoring (การติดตามทางไกล) ลดความจำเป็นในการเดินทางมาพบแพทย์บ่อย ๆ และช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข

แม้เทคโนโลยี Smart Motion Analytics จะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ:

1. การขาดแคลนข้อมูลแบบ Multimodal

แม้จะมีชุดข้อมูลมากมายสำหรับอาการเดียว แต่ยังขาดชุดข้อมูลที่ครอบคลุมหลายอาการ (Multimodal – หลายรูปแบบ) ของโรคพาร์กินสันในคราวเดียวกัน

2. ความหลากหลายของอาการ

โรคพาร์กินสันมีอาการที่แตกต่างกันมากระหว่างผู้ป่วยแต่ละคน และแม้แต่ในผู้ป่วยคนเดียวกันอาการอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

3. การรบกวนจากอาการสั่น

อาการสั่นอาจส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์อาการอื่น ๆ เช่น bradykinesia ทำให้การตรวจวัดมีความผิดพลาด

4. ขนาดข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอ

แม้ว่าการศึกษาปัจจุบันจะใช้ชุดข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในวรรณกรรม แต่ยังคงมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับความซับซ้อนของโรค

การศึกษาวิจัยปัจจุบันกำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบที่สามารถทำงานกับข้อมูลที่เก็บรวบรวมที่บ้านขณะที่ผู้ป่วยทำกิจกรรมประจำวัน หรือแม้กระทั่งการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งจะเป็นการเคลื่อนไปสู่การเก็บข้อมูลแบบธรรมชาติมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไปสู่การวิเคราะห์อาการอื่น ๆ เช่น การแสดงออกทางสีหน้า การพูด และการนอนหลับ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมของโรคพาร์กินสันมากขึ้น

การผสมผสานระหว่าง Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก – AI ที่เรียนแบบสมองมนุษย์), Big Data (ข้อมูลขนาดใหญ่) และเทคโนโลยี IoT (Internet of Things – อินเทอร์เน็ตในสิ่งของ) จะทำให้เกิดระบบ Precision Medicine (การแพทย์ความแม่นยำ – การรักษาที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล) ที่สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ

เทคโนโลยี Smart Motion Analytics ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอย่างพื้นฐาน จากการติดตามที่ไม่ต่อเนื่องและอาศัยการสังเกตของแพทย์ ไปสู่การติดตามแบบต่อเนื่อง แม่นยำ และเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสมมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แม้ว่าจะยังมีความท้าทายในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการนำไปใช้ในทางคลินิก แต่ผลการวิจัยที่ออกมาล่าสุดแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีนี้ ในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็นการใช้สมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทวอทช์ในการติดตามและประเมินอาการโรคพาร์กินสันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการดูแลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน


แหล่งอ้างอิง

  1. UC San Francisco. (2024). New Study: Can Your Phone and AI Track Parkinson’s Progression?
  2. Nature Medicine. (2022). Artificial intelligence-enabled detection and assessment of Parkinson’s disease using nocturnal breathing signals.
  3. npj Digital Medicine. (2023). Using AI to measure Parkinson’s disease severity at home.
  4. Science Translational Medicine. (2021). Smartwatch inertial sensors continuously monitor real-world motor fluctuations in Parkinson’s disease.
  5. University of Florida. (2024). New video test for Parkinson’s uses AI to track how the disease is progressing.
  6. npj Parkinson’s Disease. (2023). Overview on wearable sensors for the management of Parkinson’s disease.
  7. Harvard Wyss Institute. (2024). MyoExo: Wearable Muscle-Centric Sensors for Improved Assessment of Neurological Disorders.
  8. Scientific Data. (2021). Accelerometer data collected with a minimum set of wearable sensors from subjects with Parkinson’s disease.
  9. ScienceDirect. (2023). Deep learning and wearable sensors for the diagnosis and monitoring of Parkinson’s disease: A systematic review.

Journal of Big Data. (2024). Integrating Big Data, Artificial Intelligence, and motion analysis for emerging precision medicine applications in Parkinson’s Disease

บทความที่เกี่ยวข้อง