เมื่อบ้านกลายเป็นออฟฟิศ ปัญหาสุขภาพก็ตามมา
ใครคิดว่าการทำงานที่บ้านจะสบายกว่าออฟฟิศ อาจต้องคิดใหม่ เพราะปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการ Work From Home กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนทำงานมากขึ้นทุกวัน จนเกิดเป็นกลุ่มอาการใหม่ที่เรียกว่า “Long Office Syndrome” ที่รุนแรงกว่า Office Syndrome แบบเดิมๆ เสียอีก
จาก Office Syndrome สู่ Long Office Syndrome: ปัญหาที่รุนแรงขึ้น
Office Syndrome หรือกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม เป็นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังจากการนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นปัญหาที่พบมานานในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไปสู่ยุค Work From Home อาการเหล่านี้กลับทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ
จากการศึกษาของสถาบันการแพทย์หลายแห่ง พบว่าการทำงานที่บ้านทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อปัญหากล้ามเนื้อและกระดูกมากขึ้นกว่าการทำงานที่ออฟฟิศถึง 2-3 เท่า สาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่บ้านไม่เหมาะสม ขาดอุปกรณ์สนับสนุนที่ถูกต้องตามหลัก Ergonomics และที่สำคัญคือการขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย
ในออฟฟิศ คนเรายังมีโอกาสเดินไปห้องน้ำ ห้องประชุม หรือไปหาเพื่อนร่วมงานคุย แต่เมื่อทำงานที่บ้าน หลายคนนั่งติดจอเป็นชั่วโมงโดยไม่ได้เคลื่อนไหวเลย การศึกษาจากมหาวิทยาลัยซินซินนาติพบว่า หลังจาก 5 เดือนของการทำงานที่บ้าน ระดับความไม่สบายของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ปัญหาทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าด้วย
อาการเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
Long Office Syndrome มีอาการที่หลากหลายและรุนแรงกว่า Office Syndrome ทั่วไป ได้แก่:
อาการทางกายภาพ
- ปวดคอ บ่า หลัง อย่างเรื้อรัง บางครั้งอาจปวดแบบไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนได้
- ปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรนจากความเครียดและการใช้สายตานาน
- ชาปลายมือ ปลายเท้า จากการกดทับเส้นประสาท
- กล้ามเนื้อตึง อักเสบ โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ สะบัก
- ปวดหลังส่วนล่างจากการนั่งผิดท่า
- ข้อมือ นิ้วมือปวด จากการใช้เมาส์คอมพิวเตอร์นาน (Carpal Tunnel Syndrome)
- ตาพร่า เมื่อยล้า จากการจ้องจอนาน (Digital Eye Strain)
- เข่าปวดจากการนั่งในท่าเดิมนานเกินไป
อาการทางจิตใจ
- ความเครียดสูงจากการทำงานแบบโดดเดี่ยว
- เศร้า หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน
- นอนไม่หลับ หรือนอนไม่ลึก
- เหนื่อยล้ามากผิดปกติ
อาการ Office Syndrome สามารถแบ่งเป็น 3 ระดับ:
- ระดับ 1: ปวดขณะทำงาน แต่หายหลังพัก
- ระดับ 2: ปวดตั้งแต่เริ่มทำงาน ไม่หายแม้จะพักผ่อน อาจมีอาการบวม ชา อ่อนแรง
- ระดับ 3: ปวดแม้ในขณะพัก รบกวนการนอน ส่งผลต่อการทำงานอย่างมาก
ต้นตอของปัญหา: ทำไม WFH ถึงเสี่ยงมากกว่า?
การวิจัยระบุสาเหตุหลักของ Long Office Syndrome จากการทำงานที่บ้าน ดังนี้:
1. สภาพแวดล้อมการทำงานไม่เหมาะสม การสำรวจจากมหาวิทยาลัยซินซินนาติพบว่า:
- 41% ใช้เก้าอี้ที่ต่ำเกินไป ทำให้ต้องก้มตัว
- 53% มีที่เท้าแขน แต่ 32% ไม่ได้ใช้ และอีก 18% ปรับไม่ถูกต้อง
- ส่วนใหญ่ใช้โต๊ะอเนกประสงค์ เช่น โต๊ะกินข้าว โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงาน
2. การใช้อุปกรณ์ไม่ถูกต้อง
- ใช้โน้ตบุ๊กทำให้ต้องก้มหน้ามอง
- ไม่มีเมาส์และคีย์บอร์ดแยก ทำให้ข้อมือและแขนอยู่ในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ
- แสงสว่างไม่เหมาะสม ทำให้ตาล้า
3. การขาดการเคลื่อนไหว ที่ออฟฟิศมีโอกาสเดิน เปลี่ยนท่า แต่ที่บ้านหลายคนนั่งติดจอยาวนานขึ้น การศึกษาพบว่าการนั่งนิ่งเป็นเวลานานสัมพันธ์กับปัญหาน้ำหนักเกิน ความดันโลหิตสูง และปัญหากล้ามเนื้อกระดูก
4. ปัจจัยทางจิตใจ การแยกตัวจากเพื่อนร่วมงาน การทำงานคนเดียว การไม่สามารถแบ่งแยกเวลางานและชีวิตส่วนตัว ล้วนเพิ่มความเครียดและส่งผลต่อสุขภาพกาย

วิธีป้องกันและแก้ไข: เปลี่ยนบ้านให้เป็น Healthy Office
จัด Workspace ให้ถูกหลัก Ergonomics
- เก้าอี้ที่เหมาะสม
- ปรับความสูงให้เท้าวางพื้นหรือวางที่รองเท้าได้
- มีพนักพิงหลังรองรับกระดูกสันหลังส่วนเอว
- ต้นขาอยู่ในแนวขนานกับพื้น มุมสะโพก 90-110 องศา
- จอภาพและคีย์บอร์ด
- จอควรอยู่ห่างจากตาประมาณความยาวแขน
- ระดับสายตาอยู่ที่ 1 ใน 3 ส่วนบนของจอ
- คีย์บอร์ดและเมาส์อยู่ในระดับข้อศอก
- ข้อมือตรง ไม่งอขึ้นหรือลง
- แสงสว่าง
- ควรมีแสงธรรมชาติ ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและการผลิต
- หลีกเลี่ยงแสงจ้าสะท้อนหน้าจอ
เปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน
- เคลื่อนไหวบ่อยๆ
- เปลี่ยนท่านั่งทุก 1-2 ชั่วโมง
- ลุกยืดเส้นยืดสายทุก 30 นาที
- เดินสำรวจบ้านสั้นๆ ระหว่างวัน
- ใช้กฎ 20-20-20
- ทุก 20 นาที มองสิ่งที่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
- ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- อย่างน้อย 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- เน้นการยืดกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้งานบ่อย เช่น คอ บ่า หลัง
- เลือกอาหารที่ดี
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีน ไขมันดี คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
- เสริมวิตามิน D, B12 และธาตุเหล็ก ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
- ดูแลสุขภาพจิต
- สร้างขอบเขตชัดเจนระหว่างเวลางานและส่วนตัว
- นั่งสมาธิก่อนนอน 5 นาที ช่วยลดความเครียด
- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานผ่านวิดีโอคอลบ้าง
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ทันที:
- ปวดรุนแรงเกิน 1-3 เดือน
- ปวดลามไปขา มีอาการอ่อนแรง เดินลำบาก
- ชาปลายมือปลายเท้ามาก จับสิ่งของไม่อยู่
- มีอาการบวม แดง ร้อน บริเวณที่ปวด
- อาการรบกวนการนอนและชีวิตประจำวันอย่างมาก
การรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ กายภาพบำบัด การฝังเข็ม หรือการผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง แต่การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
อนาคตของการทำงาน: สร้างสมดุลที่ยั่งยืน
Long Office Syndrome ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพชั่วคราว แต่เป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลระยะยาว หากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อม หรือความพิการถาวร
ในโลกที่ Work From Home กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ การดูแลสุขภาพในขณะทำงานจึงสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของนายจ้างที่ควรสนับสนุนอุปกรณ์และความรู้ที่เหมาะสม หรือความรับผิดชอบของพนักงานที่ต้องดูแลตนเองอย่างจริงจัง
จำไว้ว่า ร่างกายที่แข็งแรงคือทุนที่ดีที่สุดในการทำงาน การลงทุนเล็กน้อยในการจัด workspace ที่ถูกต้อง การใส่ใจในการเคลื่อนไหว และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว ไม่ใช่แค่วันนี้พรุ่งนี้ แต่เป็นทั้งชีวิตการทำงาน
แหล่งอ้างอิง
- Bangkok Hospital. (2025). “Preventing Office Syndrome while working from home” https://www.bangkokhospital.com/en/bangkok/content/work-from-home-and-office-syndrome
- Medpark Hospital. (2024). “Office Syndrome: Symptoms, Causes, and Treatment”
- University of Cincinnati. (2020). “Ergonomics expert says work smarter at home”
- Journal of Occupational and Environmental Medicine. (2022). “Telework Conditions, Ergonomic and Psychosocial Risks”
- International Journal of Environmental Research and Public Health. (2023). “Prediction of Work from Home and Musculoskeletal Discomfort”
- BNH Hospital. (2024). “Office syndrome: The Silent Threat for Working Adults”
- Texas Department of Insurance. “Ergonomics and the pandemic of work-from-home injuries”
University of Cincinnati & ScienceDaily. (2020). “Ergonomics expert says work smarter at home” – Study published in Ergonomics in Design